เครือข่ายเอชไอวี ชี้ ดรามาทิ้งผู้ติดเชื้อข้างกำแพงวัดพระบาทน้ำพุ ตรวจสอบพบเป็นคนรู้จัก ทำกิจวัตรกับวัดตลอด บังเอิญป่วยวัณโรค จึงขอมาอยู่วัด การประสานไม่น่ายาก ตั้งข้อสงสัยกุข่าวละทิ้งผู้ป่วย ย้ำทำคนไม่เข้าใจมากขึ้น ไม่ส่งผลดีการยุติเอดส์ประเทศไทย
จากกรณีข่าวพบการนำผู้ติดเชื้อเอชไอวีไปทิ้งไว้ที่ข้างกำแพงวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี จนนำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น
วันนี้ (8 พ.ย.) นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่าจากการที่มีสื่อมวลชนลงไปตรวจสอบ และเครือข่ายฯ ก็ลงไปตรวจสอบพบข้อมูลว่า ผู้ป่วยคนนี้จริงๆ แล้วเป็นคนในพื้นที่ จ.ลพบุรี ที่มีความใกล้ชิดกับวัดนี้ ทำกิจวัตรกับวัดมาตลอด บังเอิญว่า เกิดการป่วยวัณโรคขึ้นมา แล้วมีการคุยกันว่าอยากจะขอมาอยู่ที่วัดชั่วคราวช่วงเจ็บป่วย จึงขอให้ญาติพาไปอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุ ญาติก็ทำตามประสงค์ แต่ไม่รู้ว่าพากันไปส่งอย่างไรถึงมีภาพว่าละทิ้งไว้ที่ข้างกำแพงจนเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเป็นคนที่รู้จักทางวัดอยู่แล้ว การจะเข้าไปน่าจะประสานกันได้ไม่ยาก
นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนตนตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการกุข่าวว่าละทิ้งผู้ป่วยหรือไม่ จริงๆ ผู้ป่วยในวัดมี 160 คน มีคนป่วยนอนเตียงเพียงไม่กี่คน ที่เหลือเป็นผู้ติดเชื้อที่สามารถทำงาน ทำกิจวัตรประจำวัดได้ เพียงแต่อยากไปอยู่วัดเพื่อช่วยเหลืองานของที่วัด ตอบแทนบุญคุญ หาเงินบริจาคช่วยวัด
“ถ้าถามผม คิดว่ากิจกรรมที่วัดทำนั้นเป็นกิจกรรมสำหรับบ้านพักฟื้นผู้ป่วยเอดส์ชั่วคราว ไม่ใช่ที่ที่คนไปตาย เพราะจริงๆ ก็เหมือนโรคอื่นๆ ที่เจ็บป่วยก็ต้องมีญาติดูแล แต่การมีกิจกรรมที่บอกว่า ถ้าป่วยแล้วให้แยกออกมาอยู่ ผมคิดว่ากิจกรรมแบบนี้ยิ่งสร้างความไม่เข้าใจเรื่องการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศให้หนักขึ้น เพราะฉะนั้นกิจกรรมแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ เพราะทุกวันนี้การติดเชื้อเอชไอวีสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เมื่อเจ็บป่วยก็รักษาตัวเองสูงสุด 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนก็ดีขึ้นแล้ว เหมือนกับการเจ็บป่วยโรคอื่นๆ ดังนั้น จากการที่มีข่าวขึ้นมาสปอร์ตไลท์จะส่องไป คนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงอาจจะรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น ผมว่าการสร้างภาวะแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับการยุติเอชไอวีของประเทศ” นายอภิวฒน์ กล่าวและว่า ขอยืนยันว่าผู้ติดเอชไอวีไม่ได้ต้องการความสงสาร ไม่ได้ต้องการเงินบริจาค ขอแค่ความเข้าใจ เอชไอวีรักษาได้ อยู่ร่วมกันได้