หากเอ่ยถึงเด็กดาวน์ เชื่อว่าแทบทุกคนคงนึกภาพเด็กพัฒนาการช้าหรือที่ถูกเรียกกันว่า “ปัญญาอ่อน” ศีรษะแบนและเล็ก พูดจาไม่รู้เรื่อง และมีน้ำลายยืดไหลย้อยอยู่ตลอดเวลา และพ่อแม่หลายคนที่มีลูกป่วยเป็นภาวะ “ดาวน์” คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน คือเศร้าเสียใจ บางรายถึงขนาดหมดหวังไปเลย แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักการศึกษา ได้ออกมายืนยันย้ำว่า “เด็กดาวน์” เพียงแค่พัฒนาการช้า แต่หากพ่อแม่วางแผนชีวิตและช่วยลูกอย่างจริงจัง เขาเหล่านั้นมีทางพัฒนาได้แน่นอน!

***แพทย์ยันเด็กดาวน์พัฒนาได้
ศ.พญ.พรสวรรค์ วสันต์ หัวหน้าหน่วยเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลเปิดเผยถึงความอับโชคของเด็กดาวน์ว่า เด็กแรกคลอดที่เกิดมานั้น แพทย์ผู้ทำคลอดจะสามารถทราบได้ทันทีว่ามีภาวะดาวน์หากมีการตรวจโครโมโซม ซึ่งในยุคนี้จะทราบได้ตั้งแต่เด็กคลอดหรือก่อนคลอดหากมีการเจาะน้ำคร่ำตรวจ
แต่ในยุคก่อนพ.ศ.2534 เมื่อทารกเกิดใหม่ถูกตรวจพบว่าเป็นดาวน์ มีพ่อแม่จำนวนมากที่ตัดสินใจทิ้งลูกไว้ที่โรงพยาบาล และมีเด็กดาวน์แรกเกิดถูกทิ้งถี่มากชนิดเดือนเว้นเดือน ทั้งที่ความจริงเด็กดาวน์เหล่านั้นก็โชคร้ายพอแรงอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเด็กดาวน์จะมีภาวะพัฒนาการช้า ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมีอาการหัวใจและต่อมไทรอยด์ที่ผิดปกติ และจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง
“เราเห็นเด็กดาวน์ถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลบ่อยมาก เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ ทางโรงพยาบาลศิริราชจึงได้เปิดโครงการเพื่อเด็กดาวน์ขึ้นมา อยากจะเรียนว่า การให้กำเนิดเด็กดาวน์นั้นไม่ใช่ความผิดของพ่อหรือแม่ แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากโครโมโซมที่ผิดปกติ ดังนั้นหากคลอดลูกออกมาเป็นดาวน์ ไม่ใช่ว่าจะโทษพ่อหรือแม่ แต่สิ่งที่ควรทำคือการหาทางช่วยลูก ดิฉันบอกเสมอเวลาที่สอนนักศึกษาแพทย์ทุกรุ่นว่าหากพบเด็กดาวน์ สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกจากการรักษาโรคแล้ว ยังต้องให้ความรู้แก่พ่อแม่ของเด็กด้วย”
ศ.พญ.พรสวรรค์แนะนำด้วยว่า หากพ่อแม่ที่พบว่าลูกของตัวเองเป็นดาวน์ สามารถอุ้มมาพบแพทย์ได้ทันที ชนิดที่คลอดออกมา 5 วันพบว่าลูกเป็นดาวน์ ก็อุ้มมาได้เลย เรียกว่าเร็วเท่าไหร่ได้เป็นดี เพราะเด็กดาวน์จะมีพัฒนาการช้า ดังนั้นหากรู้แล้วช่วยแต่เนิ่นๆ โอกาสที่เด็กจะมีเวลาฝึกการพัฒนาก็จะมีมากขึ้น

“ทีมพยาบาลและครูของศูนย์เด็กดาวน์ที่ศิริราช จะพยายามสอนการพัฒนาการด้านร่างกาย ไปพร้อมๆ กับพัฒนาการด้านสังคมและสติปัญญา คือเด็กเหล่านี้จะได้รับการฝึกตั้งแต่สองเดือนขึ้นไป ในเรื่องของการชันคอ คว่ำ คลาน แม้ว่าการพัฒนาจะช้า แต่ก็สามารถพัฒนาได้ หากได้รับการดูแลและใส่ใจ เราพยายามให้เด็กเหล่านี้มีพัฒนาการเหมือนเด็กปกติ และปรากฏมาแล้วว่าความใส่ใจของพ่อแม่ในการดูแลลูกที่เป็นดาวน์ ปรากฏมากในต่างประเทศ ที่ส่งผลให้ลูกที่เป็นดาวน์นั้นประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน และสำหรับในประเทศไทย มีเด็กดาวน์จำนวนไม่น้อยที่สามารถเรียนร่วมได้กับเด็กปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่อย่าท้อและอย่าถอดใจ”ศ.พญ.พรสวรรค์ให้ข้อมูล
ด้าน อมรรัตน์ จิตรสำราญ หนึ่งในคุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์ เล่าว่า “น้องโปเต้” เป็นลูกชายคนเล็กที่ภายหลังคลอดไม่นาน แพทย์ผู้ทำคลอดก็นำข่าวร้ายมาสู่ครอบครัวว่า น้องโปเต้เป็นเด็กดาวน์
“ตอนแรกก็มึนนะ ไม่รู้ดาวน์คืออะไร พอตั้งสติได้ก็โทรไปถามพี่สาว พี่สาวบอกว่าเด็กดาวน์ก็คือแบบเดียวกับปัญญาอ่อน ก็เสียใจเหมือนกัน แต่ไม่มาก รู้สึกสงสารลูกมากกว่า ตอนนั้นแถวบ้านก็มีเด็กลูกคนงานก่อนสร้างเป็นแบบน้องโปเต้ แต่พ่อแม่เขาไม่ยอมให้ลูกออกไปไหน ไม่ได้สอนให้ดูแลตัวเอง ตอนนี้ก็โตแล้วแต่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งล้างก้น และเราก็ไม่ต้องการให้ลูกเราเป็นแบบนั้น ก็เลยตัดสินใจลาออก ทั้งๆ ที่บ้านเราก็เรียกว่าค่อนข้างลำบาก แต่ก็เลือกลูกมากกว่า ปล่อยให้คุณพ่อเค้าทำงานคนเดียว”
ภายหลังตัดสินใจจะทุ่มเทช่วยเหลือลูกชายคนเล็กแล้ว เมื่อโปเต้อายุได้สองเดือน อมรรัตน์ก็อุ้มไปขอความช่วยเหลือที่ศูนย์เด็กดาวน์ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนอกจากค่ารถแล้ว การมารับคำปรึกษาและพาโปเต้มาฝึกที่ศูนย์แทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และนับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายของโปเต้ ที่นอกจากอาการดาวน์แล้ว เด็กน้อยไม่มีอาการป่วยของโรคหัวใจและต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายของโปเต้ค่อนข้างแข็งแรง มีลักษณะเป็นเด็กแรงเยอะ วิ่งเล่น อารมณ์ดี หัวเราะง่าย แทบจะเหมือนเด็กปกติ
“พัฒนาการของเขาเร็วมาก คว่ำ ชันคอ คลาน ได้ในช่วงอายุที่ไม่ต่างจากเด็กปกติ เราชื่นใจมาก เพราะตอนนี้โปเต้อายุ 3 ขวบ เขาฟังรู้เรื่องแม้จะพูดไม่ได้ อยากฉี่ก็จะชี้ไปที่ก้น บอกได้ว่าจะเข้าห้องน้ำ เวลาหิวก็จะพูดหม่ำๆ หรือเรียกพ่อแม่ได้แบบนานๆ ที เชื่อว่าอนาคตถ้าเราใกล้ชิดลูกและพยายามสอนไปได้แบบนี้ สักวันเขาจะช่วยตัวเองได้ทั้งหมด”
คุณแม่คนเก่งรายนี้ได้ทิ้งท้ายโดยฝากไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์ทุกคนว่า อย่าท้อแท้เพราะลูกเพียงแค่มีภาวะพัฒนาการช้า ไม่ใช่จะไม่มีทางพัฒนาเอาเสียทีเดียว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นลูกที่เป็นดาวน์จะพัฒนาได้ไกลแค่ไหน นั่นขึ้นอยู่กับพ่อแม่ที่จะมีใจที่จะดูแลหาทางออกและให้ความช่วยเหลือลูกรักได้มาน้อยเท่าใด

***71 ร.ร.ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กพิเศษ
ขณะที่นักการศึกษาอย่าง ดร.จรีลักษณ์ จิรวิบูลย์ เปิดเผยถึงความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาที่ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันพยายามเปิดช่องการเข้าถึงทางการศึกษาให้แก่เด็กดาวน์ให้ได้มากที่สุดว่า ทุกวันนี้ทางกทม.ได้พยายามให้ความช่วยเหลือเด็กดาวน์ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนเด็กพิเศษ ที่ให้การศึกษาแก่เด็กเฉพาะกลุ่ม เช่นเด็กพิการทางสายตา หูหนวก ปัญญา หรือออทิสติก เป็นต้น
ทั้งนี้ การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กดาวน์เรียนร่วมกับเด็กปกติมีผลวิจัยว่า การพัฒนาการของเด็กพิเศษจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีบริการดูแลพัฒนาการเด็กดาวน์ที่พิการซ้ำซ้อน และไม่สามารถมารับการพัฒนาที่ศูนย์หรือที่โรงเรียนได้ ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปช่วยเหลือถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นการบริการที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสังกัดกทม.ที่เปิดการเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติและเด็กพิเศษที่มีถึง 71 โรงเรียน รวมถึงการบริการดูแลเด็กดาวน์พิการซ้ำซ้อนที่บ้าน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่สำนักการศึกษากทม. โทร.02-4376631-5 ต่อ 3467 และเจ้าหน้าที่นักการศึกษาจะให้คำปรึกษาทุกปัญหาการศึกษา พร้อมแนะนำการเตรียมความพร้อมเพื่อการเรียนรู้ของลูกน้อย
***นักศิลปะเผยเด็กดาวน์หลายคนมีพรสวรรค์
และสำหรับนักศิลปะบำบัดอย่าง อ.ภาณุกร วณิชย์กุล แห่งโรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์ ผู้ที่นำแนวคิด “ศิลปะบำบัด” มาใช้กับเด็กพิเศษทั้งเด็กออทิสติกและเด็กดาวน์ เปิดเผยว่าเด็กออทิสติกเรียนรู้ได้ไว แต่มักไม่ค่อยนิ่ง ไม่มีสมาธิ สำหรับงานศิลปะ หากเทียบกับเด็กดาวน์แล้ว เด็กดาวน์จะนิ่งและมีสมาธิในงานที่ทำได้มากกว่า
“เด็กดาวน์เหล่านี้มีไม่น้อยที่มีความสามารถทางศิลปะแฝงอยู่ และมีบางคนที่ถึงขนาดศิลปิน คือสามารถทำมาหากินด้วยการวาดรูปได้เลยทีเดียว เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเห็น สิ่งที่เด็กเหล่านี้ต้องการคือโอกาสในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง”
แม้สังคมในยุคเริ่มงานใหม่ๆ ของอ.ภาณุกรจะยังไม่ใคร่เข้าใจในวิถีแห่งศิลปะบำบัดสักเท่าไหร่ แต่อาจารย์ก็ได้กัดฟันทนแรงเสียดทานจนถึงยุคนี้...ยุคนี้การศึกษาเปิดกว้างและสังคมรับรู้ถึงอานุภาพแห่งศิลปะว่าสามารถ “บำบัด” ได้จริงๆ และจนวันนี้ ครูศิลปะหัวใจทองคำคนนี้ ก็ยังคงควักเงินตัวเอง โปะเป็นค่าอุปกรณ์ศิลปะแก่เด็กดาวน์ที่โรงเรียนอยู่ปีละหลายหมื่นบาทเพื่อเปิดโอกาสในการจุดประกายศิลปินให้แก่เด็กเหล่านั้น และหลายสิบรุ่นลูกศิษย์ที่ได้ฝึกปรือศิลปะกับอาจารย์ที่เรียกขานอาจารย์ว่า “แม่” ก็ได้ศิลปะที่ร่ำเรียนมาพัฒนาชีวิตตัวเองไปมากบ้างน้อยบ้าง
“ดิฉันไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทั้งหมดที่ทำไปนั้นทำเพื่อชาติ เพื่อชาติจะได้ไม่ต้องรับภาระเด็กดาวน์เหล่านี้ ตลอดเวลาที่ทำนั้นคือต้องการให้เด็กดาวน์เหล่านี้ดูแลตัวเองได้ ช่วยเหลือตัวเองและหากโชคดีก็จะมีบางส่วนที่นำศิลปะไปประกอบอาชีพ ลูกๆ ที่ดิฉันสอนหลายคนขายงานได้ชิ้นละเป็นพันหรือเป็นหมื่น ซึ่งดิฉันดีใจมาก ที่เขาสามารถนำศิลปะไปทำเป็นอาชีพ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระต่อชาติบ้านเมือง”
อ.ภาณุกรผู้ที่กำลังจะถึงเวลาเกษียณอายุราชการในปีหน้านี้ ได้เล่าถึงโครงการต่อไปเพื่อเด็กดาวน์ว่า กำลังจะทำสถาบันศิลปะบำบัด ที่ได้ทาบทามเพื่อนนักศิลปะของตนเองหลายคนมาเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ โดยจะทำเป็นครบวงจร คืออบรมให้ความรู้ด้านศิลปะ และจะหาช่องทางการการประมูลหรือขายงานของเด็กดาวน์ผ่านทางเวบไซต์ เพื่อช่วยเหลือให้เด็กเหล้านั้นมีรายได้จากงานศิลปะที่ทำด้วย
***แพทย์ยันเด็กดาวน์พัฒนาได้
ศ.พญ.พรสวรรค์ วสันต์ หัวหน้าหน่วยเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลเปิดเผยถึงความอับโชคของเด็กดาวน์ว่า เด็กแรกคลอดที่เกิดมานั้น แพทย์ผู้ทำคลอดจะสามารถทราบได้ทันทีว่ามีภาวะดาวน์หากมีการตรวจโครโมโซม ซึ่งในยุคนี้จะทราบได้ตั้งแต่เด็กคลอดหรือก่อนคลอดหากมีการเจาะน้ำคร่ำตรวจ
แต่ในยุคก่อนพ.ศ.2534 เมื่อทารกเกิดใหม่ถูกตรวจพบว่าเป็นดาวน์ มีพ่อแม่จำนวนมากที่ตัดสินใจทิ้งลูกไว้ที่โรงพยาบาล และมีเด็กดาวน์แรกเกิดถูกทิ้งถี่มากชนิดเดือนเว้นเดือน ทั้งที่ความจริงเด็กดาวน์เหล่านั้นก็โชคร้ายพอแรงอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเด็กดาวน์จะมีภาวะพัฒนาการช้า ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมีอาการหัวใจและต่อมไทรอยด์ที่ผิดปกติ และจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง
“เราเห็นเด็กดาวน์ถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลบ่อยมาก เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ ทางโรงพยาบาลศิริราชจึงได้เปิดโครงการเพื่อเด็กดาวน์ขึ้นมา อยากจะเรียนว่า การให้กำเนิดเด็กดาวน์นั้นไม่ใช่ความผิดของพ่อหรือแม่ แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากโครโมโซมที่ผิดปกติ ดังนั้นหากคลอดลูกออกมาเป็นดาวน์ ไม่ใช่ว่าจะโทษพ่อหรือแม่ แต่สิ่งที่ควรทำคือการหาทางช่วยลูก ดิฉันบอกเสมอเวลาที่สอนนักศึกษาแพทย์ทุกรุ่นว่าหากพบเด็กดาวน์ สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกจากการรักษาโรคแล้ว ยังต้องให้ความรู้แก่พ่อแม่ของเด็กด้วย”
ศ.พญ.พรสวรรค์แนะนำด้วยว่า หากพ่อแม่ที่พบว่าลูกของตัวเองเป็นดาวน์ สามารถอุ้มมาพบแพทย์ได้ทันที ชนิดที่คลอดออกมา 5 วันพบว่าลูกเป็นดาวน์ ก็อุ้มมาได้เลย เรียกว่าเร็วเท่าไหร่ได้เป็นดี เพราะเด็กดาวน์จะมีพัฒนาการช้า ดังนั้นหากรู้แล้วช่วยแต่เนิ่นๆ โอกาสที่เด็กจะมีเวลาฝึกการพัฒนาก็จะมีมากขึ้น
“ทีมพยาบาลและครูของศูนย์เด็กดาวน์ที่ศิริราช จะพยายามสอนการพัฒนาการด้านร่างกาย ไปพร้อมๆ กับพัฒนาการด้านสังคมและสติปัญญา คือเด็กเหล่านี้จะได้รับการฝึกตั้งแต่สองเดือนขึ้นไป ในเรื่องของการชันคอ คว่ำ คลาน แม้ว่าการพัฒนาจะช้า แต่ก็สามารถพัฒนาได้ หากได้รับการดูแลและใส่ใจ เราพยายามให้เด็กเหล่านี้มีพัฒนาการเหมือนเด็กปกติ และปรากฏมาแล้วว่าความใส่ใจของพ่อแม่ในการดูแลลูกที่เป็นดาวน์ ปรากฏมากในต่างประเทศ ที่ส่งผลให้ลูกที่เป็นดาวน์นั้นประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน และสำหรับในประเทศไทย มีเด็กดาวน์จำนวนไม่น้อยที่สามารถเรียนร่วมได้กับเด็กปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่อย่าท้อและอย่าถอดใจ”ศ.พญ.พรสวรรค์ให้ข้อมูล
ด้าน อมรรัตน์ จิตรสำราญ หนึ่งในคุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์ เล่าว่า “น้องโปเต้” เป็นลูกชายคนเล็กที่ภายหลังคลอดไม่นาน แพทย์ผู้ทำคลอดก็นำข่าวร้ายมาสู่ครอบครัวว่า น้องโปเต้เป็นเด็กดาวน์
“ตอนแรกก็มึนนะ ไม่รู้ดาวน์คืออะไร พอตั้งสติได้ก็โทรไปถามพี่สาว พี่สาวบอกว่าเด็กดาวน์ก็คือแบบเดียวกับปัญญาอ่อน ก็เสียใจเหมือนกัน แต่ไม่มาก รู้สึกสงสารลูกมากกว่า ตอนนั้นแถวบ้านก็มีเด็กลูกคนงานก่อนสร้างเป็นแบบน้องโปเต้ แต่พ่อแม่เขาไม่ยอมให้ลูกออกไปไหน ไม่ได้สอนให้ดูแลตัวเอง ตอนนี้ก็โตแล้วแต่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งล้างก้น และเราก็ไม่ต้องการให้ลูกเราเป็นแบบนั้น ก็เลยตัดสินใจลาออก ทั้งๆ ที่บ้านเราก็เรียกว่าค่อนข้างลำบาก แต่ก็เลือกลูกมากกว่า ปล่อยให้คุณพ่อเค้าทำงานคนเดียว”
ภายหลังตัดสินใจจะทุ่มเทช่วยเหลือลูกชายคนเล็กแล้ว เมื่อโปเต้อายุได้สองเดือน อมรรัตน์ก็อุ้มไปขอความช่วยเหลือที่ศูนย์เด็กดาวน์ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนอกจากค่ารถแล้ว การมารับคำปรึกษาและพาโปเต้มาฝึกที่ศูนย์แทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และนับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายของโปเต้ ที่นอกจากอาการดาวน์แล้ว เด็กน้อยไม่มีอาการป่วยของโรคหัวใจและต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายของโปเต้ค่อนข้างแข็งแรง มีลักษณะเป็นเด็กแรงเยอะ วิ่งเล่น อารมณ์ดี หัวเราะง่าย แทบจะเหมือนเด็กปกติ
“พัฒนาการของเขาเร็วมาก คว่ำ ชันคอ คลาน ได้ในช่วงอายุที่ไม่ต่างจากเด็กปกติ เราชื่นใจมาก เพราะตอนนี้โปเต้อายุ 3 ขวบ เขาฟังรู้เรื่องแม้จะพูดไม่ได้ อยากฉี่ก็จะชี้ไปที่ก้น บอกได้ว่าจะเข้าห้องน้ำ เวลาหิวก็จะพูดหม่ำๆ หรือเรียกพ่อแม่ได้แบบนานๆ ที เชื่อว่าอนาคตถ้าเราใกล้ชิดลูกและพยายามสอนไปได้แบบนี้ สักวันเขาจะช่วยตัวเองได้ทั้งหมด”
คุณแม่คนเก่งรายนี้ได้ทิ้งท้ายโดยฝากไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์ทุกคนว่า อย่าท้อแท้เพราะลูกเพียงแค่มีภาวะพัฒนาการช้า ไม่ใช่จะไม่มีทางพัฒนาเอาเสียทีเดียว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นลูกที่เป็นดาวน์จะพัฒนาได้ไกลแค่ไหน นั่นขึ้นอยู่กับพ่อแม่ที่จะมีใจที่จะดูแลหาทางออกและให้ความช่วยเหลือลูกรักได้มาน้อยเท่าใด
***71 ร.ร.ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กพิเศษ
ขณะที่นักการศึกษาอย่าง ดร.จรีลักษณ์ จิรวิบูลย์ เปิดเผยถึงความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาที่ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันพยายามเปิดช่องการเข้าถึงทางการศึกษาให้แก่เด็กดาวน์ให้ได้มากที่สุดว่า ทุกวันนี้ทางกทม.ได้พยายามให้ความช่วยเหลือเด็กดาวน์ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนเด็กพิเศษ ที่ให้การศึกษาแก่เด็กเฉพาะกลุ่ม เช่นเด็กพิการทางสายตา หูหนวก ปัญญา หรือออทิสติก เป็นต้น
ทั้งนี้ การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กดาวน์เรียนร่วมกับเด็กปกติมีผลวิจัยว่า การพัฒนาการของเด็กพิเศษจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีบริการดูแลพัฒนาการเด็กดาวน์ที่พิการซ้ำซ้อน และไม่สามารถมารับการพัฒนาที่ศูนย์หรือที่โรงเรียนได้ ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปช่วยเหลือถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นการบริการที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสังกัดกทม.ที่เปิดการเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติและเด็กพิเศษที่มีถึง 71 โรงเรียน รวมถึงการบริการดูแลเด็กดาวน์พิการซ้ำซ้อนที่บ้าน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่สำนักการศึกษากทม. โทร.02-4376631-5 ต่อ 3467 และเจ้าหน้าที่นักการศึกษาจะให้คำปรึกษาทุกปัญหาการศึกษา พร้อมแนะนำการเตรียมความพร้อมเพื่อการเรียนรู้ของลูกน้อย
***นักศิลปะเผยเด็กดาวน์หลายคนมีพรสวรรค์
และสำหรับนักศิลปะบำบัดอย่าง อ.ภาณุกร วณิชย์กุล แห่งโรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์ ผู้ที่นำแนวคิด “ศิลปะบำบัด” มาใช้กับเด็กพิเศษทั้งเด็กออทิสติกและเด็กดาวน์ เปิดเผยว่าเด็กออทิสติกเรียนรู้ได้ไว แต่มักไม่ค่อยนิ่ง ไม่มีสมาธิ สำหรับงานศิลปะ หากเทียบกับเด็กดาวน์แล้ว เด็กดาวน์จะนิ่งและมีสมาธิในงานที่ทำได้มากกว่า
“เด็กดาวน์เหล่านี้มีไม่น้อยที่มีความสามารถทางศิลปะแฝงอยู่ และมีบางคนที่ถึงขนาดศิลปิน คือสามารถทำมาหากินด้วยการวาดรูปได้เลยทีเดียว เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเห็น สิ่งที่เด็กเหล่านี้ต้องการคือโอกาสในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง”
แม้สังคมในยุคเริ่มงานใหม่ๆ ของอ.ภาณุกรจะยังไม่ใคร่เข้าใจในวิถีแห่งศิลปะบำบัดสักเท่าไหร่ แต่อาจารย์ก็ได้กัดฟันทนแรงเสียดทานจนถึงยุคนี้...ยุคนี้การศึกษาเปิดกว้างและสังคมรับรู้ถึงอานุภาพแห่งศิลปะว่าสามารถ “บำบัด” ได้จริงๆ และจนวันนี้ ครูศิลปะหัวใจทองคำคนนี้ ก็ยังคงควักเงินตัวเอง โปะเป็นค่าอุปกรณ์ศิลปะแก่เด็กดาวน์ที่โรงเรียนอยู่ปีละหลายหมื่นบาทเพื่อเปิดโอกาสในการจุดประกายศิลปินให้แก่เด็กเหล่านั้น และหลายสิบรุ่นลูกศิษย์ที่ได้ฝึกปรือศิลปะกับอาจารย์ที่เรียกขานอาจารย์ว่า “แม่” ก็ได้ศิลปะที่ร่ำเรียนมาพัฒนาชีวิตตัวเองไปมากบ้างน้อยบ้าง
“ดิฉันไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทั้งหมดที่ทำไปนั้นทำเพื่อชาติ เพื่อชาติจะได้ไม่ต้องรับภาระเด็กดาวน์เหล่านี้ ตลอดเวลาที่ทำนั้นคือต้องการให้เด็กดาวน์เหล่านี้ดูแลตัวเองได้ ช่วยเหลือตัวเองและหากโชคดีก็จะมีบางส่วนที่นำศิลปะไปประกอบอาชีพ ลูกๆ ที่ดิฉันสอนหลายคนขายงานได้ชิ้นละเป็นพันหรือเป็นหมื่น ซึ่งดิฉันดีใจมาก ที่เขาสามารถนำศิลปะไปทำเป็นอาชีพ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระต่อชาติบ้านเมือง”
อ.ภาณุกรผู้ที่กำลังจะถึงเวลาเกษียณอายุราชการในปีหน้านี้ ได้เล่าถึงโครงการต่อไปเพื่อเด็กดาวน์ว่า กำลังจะทำสถาบันศิลปะบำบัด ที่ได้ทาบทามเพื่อนนักศิลปะของตนเองหลายคนมาเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ โดยจะทำเป็นครบวงจร คืออบรมให้ความรู้ด้านศิลปะ และจะหาช่องทางการการประมูลหรือขายงานของเด็กดาวน์ผ่านทางเวบไซต์ เพื่อช่วยเหลือให้เด็กเหล้านั้นมีรายได้จากงานศิลปะที่ทำด้วย