วันนี้( 12 พ.ย.)ที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ กลุ่มรักษ์เชียงของ ประชาชน นักวิชาการ และทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เดินทางเข้ายื่นคำฟ้องจำนวนกว่า 63 หน้า ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ได้แก่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากกรณีโครงการเขื่อนปากแบง (Pak Beng HPP) จะทำให้แม่น้ำโขง จ.เชียงราย กลายเป็นอ่างตะกอนพิษ เนื่องจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง ปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ท แร่ทองคำ และแร่อื่นๆ ที่ต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน
โดยนางสาว เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์กร International Rivers (มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ) กล่าวว่า เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา ลุ่มน้ำกก สาย และรวก ในจังหวัดเชียงรายประสบปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง จากกรณีการปนเปื้อนสารโลหะหนักจากเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา โดยสารปนเปื้อนที่พบหลักๆ ได้แก่ สารหนู (As) ตะกั่ว (Pb) ซึ่งถูกตรวจพบในน้ำ และตะกอนของแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย สูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงแม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง เพราะน้ำที่ปนเปื้อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านปลายน้ำ
สำหรับสาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนสารพิษครั้งนี้ เชื่อมโยงกับกิจการเหมืองแร่บริเวณรัฐฉาน เมียนมา ที่ดำเนินการโดยไม่มีการควบคุมตามกฎหมาย ทำให้สารเคมีและตะกอนที่ปนเปื้อนโลหะหนักจากเหมืองเหล่านี้ได้ถูกชะล้างลงสู่ลำน้ำ ไหลเข้าสู่ประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนปากแบง ที่จะสร้างกั้นแม่น้ำโขง ในแขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นเวลา 29 ปี แต่ดำเนินการโดยปราศจากการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Impact Assessment) และผลกระทบเชิงสะสม (Cumulative Impact Assessment) อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้
ดังนั้น นี่จึงเป็นปัญหาใหม่ที่ยังไม่มีคำตอบในการป้องกัน และแก้ไข ที่กำลังซ้ำเติมและสะท้อนว่า ประชาชนในพื้นที่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเลยมิได้ให้ความสำคัญ อันมีลักษณะเป็นการละเลยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงและลุ่มน้ำสาขา โดยเฉพาะการที่เหมืองในประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสารพิษที่พัดพามาจะถูกกัก และตกตะกอนในอ่างน้ำหลังการก่อสร้างเขื่อนปากแบง ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่อันมีนัยสำคัญต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนและต่อสิทธิของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยตรง
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้กํากับดูแลโดยตรง เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงใหม่ ที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของ ผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Harm) จากโครงการเขื่อนปากแบง และมิได้ดำเนินการทบทวนมติหรือสัญญาเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหาย ย่อมเป็นการละเมิดพันธกรณีของรัฐตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหน้าที่คุ้มครองของรัฐ (State Duty to Protect) ตามกรอบกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้แล้ว ทั้งในระดับนโยบายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 เห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ไม่ได้ดำเนินใดๆ ตามกฎหมายเกี่ยวกับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง แม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 จะไม่ใช่เจ้าของโครงการดังกล่าวก็ตาม แต่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและสาธารณะประโยชน์ และปกป้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและประชาชนชาวไทย
ฉะนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ถือว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อหลักการการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ทั้งตามกฎหมายในประเทศ และต่างประเทศ ที่รัฐไทยต้องผูกพัน อันเป็นการส่งผลกระทบโดยตรงอย่างร้ายแรงต่อผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 และประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 จึงขอศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษา ดังนี้ 1.ให้ กฟผ. ในฐานะผู้ทำสัญญา และ คพช. ในฐานะผู้อนุมัติให้ทำสัญญา ยกเลิกหรือเพิกถอนสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนปากแบง
2.ให้เพิกถอนมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เพื่อยกเลิกโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนปากแบง
3.ยกเลิกการจัดการรับฟังความคิดเห็นจัดประชุมชี้แจงข้อมูลโครงการและรับฟังความคิดเห็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง เมื่อเดือนมิถุนายน 2568
4.ให้ออกมาตรการในการกำกับภาคเอกชนในการทำโครงการที่มีผลกระทบต่อประชาชนแลพทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนโดยเร่งด่วน
และ 5.ขอให้มีคำพิพากษาให้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมาย ที่จะเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชุมชน ประชาชน ในผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการบนแม่น้ำโขง ให้หน่วยงานรัฐดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูเยียวยาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ที่แม่น้ำโขงพรมแดนไทยลาว อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ให้กลับคืนสภาพที่ปราศจากมลพิษ และดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินในอนาคต โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินการดังกล่าวต้องถูกต้องตามหลักวิชาการ
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว แกนนำกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า โครงการเขื่อนปากแบงมีผลกระทบมากมาย ทั้งเรื่องน้ําเท้อที่จะทําให้น้ำท่วม ขณะนี้ เรามองเห็นว่า สถานการณ์สารพิษในแม่น้ํากก สาย รวก และโขงนั้น เป็นผลกระทบที่รุนแรงมาก หากมีการสร้างเขื่อนต่อไป อาจเรียกได้ว่าเป็นอ่างน้ําพิษ เพราะบริเวณแม่น้ําก็มีเหมืองด้วย หากยังคงทําต่อไปจะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงมาก และจะส่งผลหากมีการสร้างเขื่อนเพิ่มมากขึ้น ก็จะเกิดอ่างน้ําพิษตลอดสายแม่น้ําโขงได้ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องมาฟ้องในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้รับผิดชอบ หรือรัฐบาล และผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แก้ไขปัญหา
สิ่งสําคัญที่สุด คือต้องไปยุติโครงการนี้ก่อน เพราะหากเกิดขึ้นจะคืออ่างน้ําพิษดี ๆ นี่เอง นื่องจากเรายังไม่เห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาสารพิษในแม่น้ํากก ที่ยังไม่มีคําตอบใดๆ "เหมืองรอสร้างได้ ชีวิตมนุษย์รอสร้างไม่ได้ จึงต้องชะลอเขื่อนก่อน นี่ชีวิตมนุษย์ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการพิจารณาว่ามีความรุนแรงขนาดไหน อาจเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องนี่ เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า เขื่อนเถื่อนมีมากมาย
เมื่อถามถึงกรณีซึ่งเชื่อมโยงเขื่อนที่อยู่นอกราชอาณาจักร จะสามารถบังคับใช้กฎหมายไทยได้หรือไม่ นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความของมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า น่าจะใช้บังคับฝั่งเขาไม่ได้ เนื่องจากในเชิงของกฎหมายระหว่างประเทศ อาจมีแค่เรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งยังมีข้อท้าทายในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น สิ่งที่เราทําได้ในตอนนี้ คือหากเราสามารถติดตามห่วงโซ่อุปทานได้ ว่ามีบริษัทไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลงทุนตรงนั้น ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะสามารถใช้กฎหมายไทยได้ เช่น หากพบว่ามีบริษัทไทยไปลงทุนทางเหมืองในเมียนมา เราก็สามารถที่จะฟ้องในประเทศไทยได้ และนําบริษัทนั้น มาขึ้นศาลในประเทศไทยได้
ในส่วนของคดีอาญา มีการระบุว่า หากเกิดผลกระทบในราชอาณาจักร แม้จะเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แล้วมีความผิดทางอาญา ก็สามารถฟ้องคดีอาญาในประเทศไทยได้ ทำให้ปัญหาตอนนี้ที่เกิดขึ้น ซึ่งเรายังหาตัวตนแท้จริงไม่ได้ ว่าใครเป็นคนทําเหมือง หรือเจ้าของเหมือง เราจึงใช้วิธีการป้องกันตามกลไกที่สามารถทําได้ เพราะมีสถานการณ์ในหลายประเทศ ก็เกิดผลกระทบคล้ายกันนี้เช่นเดียวกัน และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ เราจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นภายในประเทศเรา
สำหรับประเด็นเรื่องสัญญาซื้อไฟฟ้านั้น เรามองว่ามี 2 ส่วน คือ อํานาจที่เราสามารถฟ้องได้ เราก็อยากใช้กลไกนี้ ส่วนอีกกระบวนการอย่าง PNPCA (Process for Notification, Prior Discussion, and Agreement) ที่ก่อนหน้านี้ ยังไม่ถูกกํากับไว้ในสัญญาซื้อขายไฟ แต่ตอนนี้ถูกบรรจุไว้แล้วในสัญญาซื้อไฟ จึงถือว่ากระบวนการของเขื่อนปากแบบนั้น อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ครบถ้วน แต่ทาง กฟผ. ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว
นอกจากนั้น ยังทราบมาอีกว่า สัญญาซื้อไฟฟ้ามีการกําหนดเงื่อนไขบังคับก่อน หมายความว่า เจ้าของโครงการผู้บังคับเขื่อน ต้องมีการจัดทํารายงานผลกระทบข้ามพรมแดนให้เสร็จ แล้วจึงค่อยนําไปประกอบกับการทําสัญญาณกู้ รวมถึงต้องมีการแนบแสดงต่อ กฟผ. ภายในหนึ่งปี ซึ่งหากไม่ทํา หรือทําไม่เสร็จภายในเวลา กฟผ.ก็มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ จึงมองว่าจุดนี้ กฟผ.จะสามารถเข้ามาปกป้องพี่น้องเชียงราย โดยใช้เงื่อนไขนี้มายกเลิกสัญญา หากใช้เงื่อนไขนี้ กฟผ. หรือแม้แต่รัฐบาล ก็ไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบเลย
ดังนั้น จึงเรียกร้องรัฐบาล นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ใช้เรื่องนี้เป็นส่วนช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ที่เราเห็นในอนาคตอยู่แล้ว สิ่งสําคัญ คือเงื่อนไขเรื่องมลพิษ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังมีการคิดโครงการเขื่อนปากแบง จึงเป็นสิ่งที่ควรต้องทบทวนกันใหม่ว่า เขื่อนปากแบงจําเป็นต้องสร้างหรือไม่
สำหรับมาตรฐานทางกฎหมาย ที่เราคาดหวังให้ศาลปกครองตอบสนองในรอบนี้ แค่ให้ศาลรับฟ้อง ก็ยินดีมากแล้ว เพราะจะเป็นการกระตุกให้รัฐจะต้องหันกลับมาทบทวนว่า จะดําเนินการอย่างไร ซึ่งเราคงต้องมีการขอคุ้มครองชั่วคราวให้มีการชะลอ จริงๆ แล้ว หากดูตามแผนนโยบายแห่งชาติ รัฐบาลสามารถคุยกับบริษัทเอกชนได้ แต่ก็ต้องดูว่ารัฐบาลพร้อมปกป้องประชาชนตัวเองหรือไม่ ภายใต้อํานาจหน้าที่ที่มีอยู่


