xs
xsm
sm
md
lg

“สถิตย์” แนะรัฐเรียกคลัง-สภาพัฒน์ และ คกก.วินัยการเงินฯ ตีความเทียบกู้ 5 แสน ล.แลก ศก.โต 0.6 คุ้มหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ส.ว.สถิตย์” แนะรัฐบาลเรียก ก.คลัง-สภาพัฒน์ และ คกก.วินัยการเงินฯ ตีความวิกฤตเศรษฐกิจ ขอเปรียบเทียบให้ดีกู้ 5 แสนล้านบาท ทำหนี้สาธารณะพุ่ง แลกกับเศรษฐกิจโต 0.6 คุ้มค่าหรือไม่

วันนี้ (9 ม.ค.) นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า พ.ร.บ. กู้เงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินการโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สามารถทำได้ ว่า การที่กฤษฎีกามีความเห็นว่าสามารถทำได้ แต่ต้องไปอยู่ภายใต้เงื่อนไข พ.ร.บการเงินการคลัง มาตรา 53 เกี่ยวข้องกับวิกฤตของประเทศ และมาตรา 57 เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าในการดำเนินการ

ซึ่งคำว่า วิกฤตทั่วไป จะต้องเป็นกรณีเศรษฐกิจถดถอยอย่างชัดเจนและยาวนาน รวมทั้งประเทศเผชิญความยากลำบาก มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ ความรุนแรง ระยะเวลาการชะลอตัวที่ยาวนาน รวมถึงขอบเขตของผลกระทบเป็นวงกว้างและแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในภาคส่วนต่างๆ และมีปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงิน เช่น ความล้มเหลวของธนาคาร หรือราคาสินทรัพย์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่บางคนอาจจะมองแค่ว่าการชะลอเศรษฐกิจหลายไตรมาสติดต่อกัน หรือเทียบระหว่างไตรมาสนี้ปีนี้กับไตรมาสนี้ของปีที่แล้ว ถ้าติดลบก็ถือว่าวิกฤต จึงอยู่ที่คำนิยาม ว่าจะเป็นอย่างไร

นายสถิตย์ เสนอว่า ทางที่ดีรัฐบาลควรเรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจของประเทศ การคลัง สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อปรึกษาและตกลงกันว่า คำว่า นิยามเศรษฐกิจตามความหมายของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เป็นอย่างไร ถึงขั้นวิกฤตหรือยัง เพราะถ้าไม่ให้ชัดเจนก็สุ่มเสี่ยงจะมีการโต้แย้งวิวาทะทางวาจาและทางคดีมากมาย ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ส่วนเรื่องความคุ้มค่า ต้องดูว่ากระทบต่อหนี้สาธารณะมากน้อยเพียงใด เพราะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ร้อยละ 3.2 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่า หากมีการเติมเงิน 5 แสนล้านบาท เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.8 แปลว่า จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.6 แต่ในทางกลับกันต้องประเมินถึงสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 62.4 ของ GDP แต่หากมีการกู้เงินอีก 5.6 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 64-65 รัฐบาลต้องเทียบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้น 0.6 จะคุ้มค่ากับการเสียพื้นที่ทางการคลังจากหนี้สาธารณะที่ขยับตัวขึ้นหรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อถามว่า รัฐบาลควรทบทวนการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท หรือไม่ นายสถิตย์ กล่าวว่า พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ระบุไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบประมาณที่มีอยู่ได้ สามารถออกเป็น พ.ร.บ. เงินกู้ได้ ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลให้เป็นการเติมเงิน 500,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะส่งผลให้เศรษฐกิจโตขึ้นประมาณ ร้อยละ 3.2 แต่หากใช้งบประมาณประจำปีปกติ จะไม่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ


กำลังโหลดความคิดเห็น