เมืองไทย 360 องศา
เริ่มเคลื่อนไหวกันคึกคัก สำหรับทุกพรรคการเมือง เนื่องจากใกล้ถึงเวลาเลือกตั้งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว การเคลื่อนไหวก็มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี หากแยกโฟกัสเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ถือว่ามีแนวโน้มดุเดือดในแบบ “ข้นคลั่ก” แน่นอน เพราะมีรายการ “ท้าชน” และการ “รักษาพื้นที่” เอาไว้ให้ได้
รับรู้กันดีว่า สนามเลือกตั้งภาคใต้ ถือว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยผูกขาดมานานหลายสิบปีแล้ว เรียกว่า แทบจะไม่มีพรรคไหนเบียดแทรกเข้ามาได้ง่ายๆ พรรคเพื่อไทย ที่ว่าแน่ในภาคเหนือ และภาคอีสาน ก็ยังไม่อาจเจาะเข้ามาได้ ทำให้หลายคนมองว่าฐานที่มั่นภาคใต้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ สามารถปักธงได้อย่างมั่นคง ถึงขนาดมีการเปรียบเปรยกันสนุกปากว่าส่ง “เสาไฟฟ้า” ลงไปก็ชนะ สะท้อนภาพความนิยมได้อย่างเห็นภาพ
อย่างไรก็ดี “ฐานที่มั่น” สำคัญในภาคใต้ดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถูก “ตีแตก” เมื่อการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยพรรคประชาธิปัตย์ต้องสูญเสียที่นั่งเดิมเกินครึ่ง เหลือเพียง 22 ที่นั่ง จากทั้งหมด 50 ที่นั่ง โดยพรรคพลังประชารัฐได้ไป 13 ที่นั่ง และเพิ่มอีก 1 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย 8 ที่นั่ง ประชาชาติ 6 ที่นั่ง และพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รวมพลัง) 1 ที่นั่ง
ที่น่าจับตาก็คือ เวลานี้พื้นที่ภาคใต้กำลังเป็นเป้าหมายของหลายพรรคการเมืองต่างต้องการเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ และที่น่าสนใจ ก็คือ มีทั้งพรรคกลางเก่ากลางใหม่ที่มี ส.ส.อยู่แล้วต่างก็พยายามรุกคืบ ขยายล้ำแดนเข้ามา รวมไปถึงพรรคที่เกิดใหม่ เช่น พรรคสร้างอนาคตไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นต้น ซึ่งสองพรรคหลังนี้ ต่างมีขุนพลที่แตกตัวออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ย่อมรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เช่น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีต ส.ส.พัทลุง รวมไปถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ นายวิทยา แก้วภราดัย เข้ามา และคาดว่า ส.ส.และอดีต ส.ส.ในพื้นที่เข้ามาร่วมอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้การแข่งขันในการเลือกตั้งคราวหน้าดุเดือดแน่นอน
ยังไม่นับพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการขยายพื้นที่เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ต้องรักษาเก้าอี้เดิม 13-14 ที่นั่งเอาไว้ ซึ่งใช้กระแส “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวชูโรงต่อไป หากเขายังอยู่กับพรรคนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังถือว่ายังขายได้
แต่ที่เป็นการแข่งขันเฉพาะหน้า และทำท่าจะดุเดือดมากขึ้นทุกวันก็น่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีขุนพลภาคใต้ อย่าง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และ นางนาที รัชกิจประการ ที่ใช้ฐานที่จังหวัดพัทลุง ขยายพื้นที่ออกมา ที่คราวนี้ต้องชนกับทีมประชาธิปัตย์ ที่นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง และ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นขุนพลหลัก
ที่ผ่านมา จะว่าไปแล้วทั้งสองพรรคนี้มีการขับเคี่ยวดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เพราะส่วนหนึ่งเป็นลูก “ต่อเนื่อง” ติดพันกันมาตั้งแต่การเลือกตั้งคราวที่แล้ว ที่บางพื้นที่ยังมีการฟ้องร้องกันไม่จบ อีกทั้งหลายพื้นที่ หลายเขตก็มีการย้ายพรรคเข้ามาสังกัดพรรคภูมิใจไทย ล่าสุด ก็มีกรณีของ นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ อดีต ส.ส.ภูเก็ต ที่เพิ่งมีการเปิดตัวกันไปไม่กี่วันก่อน
ล่าสุด ระหว่างการลงพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทย นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมผู้บริหารพรรค ขุนพลภาคใต้ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกว่า ขนกันมาแบบชุดใหญ่ โดยมีการเปิดตัวผู้สมัครในสามจังหวัด ตั้งแต่ กระบี่ และ พังงา พื้นที่ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยตรง และแน่นอนว่า ทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีการพูดจาข่มขวัญกันอย่างดุเดือด โดยฝ่ายพรรคภูมิใจไทย ประกาศ “แลนด์สไลด์อันดามัน”
นายอนุทิน ระบุว่า เดินทางไปเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย พื้นที่จังหวัดกระบี่ ประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ที่จังหวัดกระบี่ เรามี ส.ส.1 คน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงจังหวัดได้มาก สะพานข้ามเกาะลันตาที่หวังกันไว้หลายทศวรรษ ตอนนี้ก็สำเร็จแล้ว นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาระบบคมนาคม ไปจนถึงระบบสาธารณสุข โรงพยาบาลกระบี่พัฒนาขึ้นมาก หลังจากมี ส.ส. ภูมิใจไทย เข้าไปดูแล กับจังหวัดพังงา ถ้าประชาชนให้โอกาสกับพรรคภูมิใจไทย รับประกันว่าทุกอย่างจะดีขึ้น พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคพูดแล้วทำ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่ขายฝันกับประชาชน
“เมื่อช่วงเช้ามีคนมาบอกว่า เราเป็นราชสีห์ทำไมจึงเห่า ผมจะบอกว่าผมชื่อหนู และผมเป็นหนู ผมไม่ใช่ราชสีห์ ผมมีหน้าที่มารับใช้ราชสีห์ ก็คือ พี่น้องประชาชนอย่างพวกท่านคนพังงา ก็ไม่รู้ว่าคนนั้นจะด่าใครกันแน่ แต่สำหรับหนูอย่างผม ผมขอให้ราชสีห์ ไว้ใจผม เลือกผม แล้วผมจะตอบแทนท่านแน่นอน ในการเลือกตั้งเวลาประชาชนเลือก ให้ดูจังหวัดกระบี่ ได้ ส.ส. ภูมิใจไทย คนเดียว ยังพัฒนาตั้งมาก ที่พังงา ขอให้ท่านเลือกที่ผลงาน อย่ายึดติดกับในอดีต” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว
ขณะที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในทางการเมืองใครจะพูดอย่างไรก็พูดได้ แต่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีพรรคการเมืองบางพรรคเปิดตัว ประกาศจากกวาดพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตนไม่ทราบว่าที่พูดเป็นรือ กลกลางวัน หางคืน ตนยังคิดว่าฝันอยู่
ส่วนที่พรรคภูมิใจไทย ประกาศแลนด์สไลด์ในภาคใต้นั้น ขณะนี้พรรคการเมืองใช้คำนี้บ่อย จึงอยากส่งสัญญาณเตือนว่า คำนี้ภาษาทางใต้ คือ ดินสไลด์ธรรมดา แต่หากไม่พูดจะหาว่าใจดำเกินไป ขอให้ระวังสึนามิไว้บ้าง เพราะเมื่อสึนามิมา กวาดหมด และสึนามิทางการเมืองเคยเกิดขึ้นทางภาคใต้หลายครั้งแล้ว เช่น ปี 2535/1 ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 26 ที่นั่ง จากทั้งหมด 48 ที่นั่ง จากนั้น ปี2535/2 ประชาธิปัตย์ได้เพิ่มภาคใต้อีก 10 ที่นั่งเป็น 36 ที่นั่ง และได้จัดตั้งรัฐบาลชวน ต่อมาเมื่อปี 2548 ที่นั่งส.ส.ภาคใต้มี 54 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์กวาดที่นั่งได้เกือบทั้งภาค คือ 52 ที่นั่ง และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่
“ผมในฐานะนักการเมือง อยากส่งสัญญาณว่า ขอให้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง อย่าปรามาสประชาชนในภาคใต้ เพราะคนใต้เคยสั่งสอนบทเรียนให้พรรคการเมืองมาแล้วหลายพรรค ตลอด 30 ปี ที่ผมเป็นนักการเมืองเห็นพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นเยอะ แต่ขณะนี้พรรคการเมืองเหล่านั้น หายไปหมดแล้ว จึงขอย้ำเตือนให้ระวังสึนามิทางการเมืองไว้ด้วย” นายนิพนธ์ กล่าว
นั่นแค่เป็นหนังตัวอย่างที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันอย่างดุเดือด และเชื่อว่า จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นเกมการเมืองช่วงชิงพื้นที่ ภูมิใจไทยต้องการรุกคืบ ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ก็ต้องการรักษาที่มั่นเดิมให้ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วฝ่ายประชาธิปัตย์ ถือว่าคราวนี้ต้องเจอศึกหนักรอบด้าน เพราะต้องเจอกับอีกหลายพรรคที่รุกกระหน่ำเข้ามาทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ และพรรคใหม่ ทั้งสร้างอนาคตไทย และล่าสุด ยังมีรวมไทยสร้างชาติ ที่ล้วนเคยเป็นคนกันเอง ก็ต่างต้องการแย่งชิงพื้นที่ ซึ่งประชาธิปัตย์ก็ต้องยันเอาไว้ให้ได้ แม้จะยากหนักหน่วงวิกฤตที่สุด เพราะนี่คือที่มั่นสุดท้ายแล้ว !!