xs
xsm
sm
md
lg

ประชานิยมรูปใหม่เริ่มปูพรมทำฝ่ายค้านสะเทือนหนัก !!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา


แม้ว่าจะเรียกชื่อแบบไหนก็ตาม ความเข้าใจที่ง่ายที่สุดสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตใหม่ล่าสุดของรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังทยอยปล่อยออกมาโดยล่าสุดเป็นการโอนเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนสูงอายุที่ถือบัตร รวมไปถึงแม่ที่มีบุตรตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 ขวบ โดยอย่างหลังจะได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 300 บาท เป็นเวลาสองเดือนตั้งแต่เดือนนี้ไปจนถึงเดือนหน้า ขณะที่สองกลุ่มแรกจะได้รับเพิ่มอีกคนละ 500 บาท ในระยะเวลาเท่ากัน

แน่นอนว่าหากเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่ไม่ชอบแนวทางแบบนี้ก็ต้องกล่าวหาว่านี่คือนโยบายประชานิยม ทำให้ชาวบ้านเสพติดการแจกเงิน แต่สำหรับฝ่ายค้านบางพรรคอย่างพรรคเพื่อไทยที่ถือว่าเคยใช้นโยบายประชานิยมมาก่อนในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร จนเป็นต้นแบบเรื่อยมา แต่นาทีนี้เหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง เนื่องจากนโยบายยอดนิยมพวกนี้กำลังเปลี่ยนโฉมใหม่ มีการปรับรูปแบบไปจากเดิมแทบจะสิ้นเชิง แต่มีเป้าหมายเหมือนกันคือสร้างความนิยม สร้างฐานเสียงทางการเมืองไม่ได้ต่างกันเลย เพียงแต่ว่า มีการส่งเงินสดถึงมือแบบมีเป้าหมายและเต็มจำนวน ไม่มีตกหล่นตามรายทาง ไม่เหมือนกับการโปรยเงินในอดีตที่มักไม่ถึงมือคนจน

สำหรับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือที่เรียกว่าบัตรผู้มีรายได้รายน้อยตามเกณฑ์ที่กำหนเอาไว้หรือเรียกว่า “บัตรคนจน” นั่นแหละ ซึ่งในช่วงการขึ้นทะเบียนในปีแรกๆที่มีรายการมั่ว มีคนที่มีคนรวยปะปนมาด้วย ในที่สุดเมื่อมีการตรวจสอบจากการผูกดินกับ กรมที่ดิน กรมสรรพากรในเรื่องการเสียภาษีมันก็ทำให้มีการสกรีนออกไปได้เกือบหมดแล้ว แต่ถึงแม้จะมีคนรวยเข้ามาปน แต่ตราบใดที่จำนวนผู้ถือบัตรสวัสดิการฯจำนวนกว่า 14 ล้านคน ให้ครอบคลุมคนจนได้ถึงร้อยละ 90 มันก็ถือว่าน่าจะโอเคแล้ว

ขณะเดียวกันตามรายงานข่าวระบุว่ามีการนำผู้มีรายได้น้อยเหล่านั้นไปเพิ่มทักษะเพิ่มอาชีพ สร้างรายได้ให้พ้นจากขีดความยากจนในแต่ละปีซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ความหมายก็คือทำให้รัฐมีข้อมูลตัวเลขว่ายังมีคนจนเหลืออยู่จำนวนเท่าใด และต้องช่วยเหลือฟื้นฟูอีกเท่าใด

จะว่าไปแล้วสำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถือว่าเป็นนโยบายทีเด็ดของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลที่นำโดย “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังต่อยอดจากบัตรดังกล่าวออกไปเรื่อยๆ เพราะนอกเหนือจากการเติมเงินให้คนจน เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ในปลายเดือนหน้าก็จะมีอีกแพ็กเกจใหญ่นั่นคือ การ “แจกเงิน”ไปเที่ยวในวงเงินคนละ 1 พันบาท จำนวนทั้งหมดไม่เกิน 10 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าที่ยังจำกัดจำนวนเป็น 10 ล้านคนนั้นก็เพื่อรอดูว่าจะมีตอบรับมากน้อยแค่ไหน หากได้ผลก็น่าจะมีการขยายจำนวนหรือไม่ก็อาจจะมีล็อตสองตามมาอีกก็ได้

อย่างไรก็ดีในความหมายที่เข้าใจง่ายว่านี่คือการ “แจกเงิน” แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่เป็นการแจกเป็นเงินสดแต่อย่างใด เพราะต้องลงทะเบียนในแอฟฯที่กำหนดเอาไว้ อีกทั้งต้องใช้จ่ายในโรงแรม หรือร้านอาหารที่กำหนดหรือขึ้นทะเบียนเอาไว้นั่นเอง แต่ความหมายคือต้องการให้คนออกไปใช้จ่าย ให้เงินสะพัดแบบกระจายไปทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนกันหลายๆรอบ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อใช้จ่ายมากๆรัฐก็มีรายได้ผ่านทางภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง

แม้ว่านี่คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนตกต่ำ รายได้จากการส่งออกมีความเสี่ยง จึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยการใช้จ่าย ซึ่งออกมาด้วยมาตรการดังกล่าว ทางหนึ่งช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับคนจนหรือผู้มีรายได้น้อย ส่งเสริมให้ชาวบ้านไปใช้จ่ายเงินไปทั่วประเทศด้วยการให้วงเงินไปเที่ยว ไปใช้จ่ายเงิน มันก็เหมือนกับการสร้างความสุขที่ชาวบ้านชอบใจ พิสูจน์ได้จากรอยยิ้มของชาวบ้านที่ต่อแถวยาวเหยียดเพื่อไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศในช่วงที่ผ่านมา

นอกเหนือจากนี้ยังมีล็อตใหญ่ตามมาอีกนั่นคือโครงการประกันรายได้สำหรับพืชผลทางการเกษตรหลักๆ โดยเบื้องต้นเป็นการประกันราคาข้าว และเชื่อว่าอีกไม่นานจะมีเรื่อง ปาล์ม ยางพารา ตามมาอีก นอกเหนือจากการช่วยเหลือในด้านพลังงาน เป็นต้น

แน่นอนว่าสำหรับชาวบ้านส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนจนหรือคนที่มีรายได้น้อย รวมทั้งคนที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวย่อมพออกพอใจ แต่ที่ไม่พอใจจนนั่งไม่ติดก็เห็นจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุด “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคที่ออกมาโจมตีรัฐบาลเสียยกใหญ่ อ้างว่านี่เป็นมาตรการ “ส่งเสริมเจ้าสัว” หรือนายทุนไม่กี่คน ซึ่งพูดแบบนี้มันก็ใช่ พูดอีกถูกอีก แต่มันไม่ถูกทั้งหมด เพราะในเมื่อบ้านเราก็เศรษฐกิจแบบทุนนิยม เมื่อชาวบ้านได้เงินมาก็เอาไปซื้อผงซักฟอก ยาสีฟัน ซื้อสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น คำถามก็คือพวกเจ้าสัวเป็นผู้ผลิตผงซักฟอก ยาสีฟัน และยังรวมไปถึงนายทุนเจ้าสัวที่เป็นนายทุนในพรรคเพื่อไทย และเพื่อให้เป็นธรรมก็ต้องรวมไปถึงนายทุนที่สนับสนุนพรรคฝ่ายรัฐบาลด้วยนั่นแหละ แต่ในเมื่อเป้าหมายเป็นการสนับสนุนการใช้จ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่สำคัญก็คือต้องได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย
แต่ที่น่าจับตาก็คือ ได้ที่ได้ประโยชน์มากกว่าใครก็คือฝ่ายรัฐบาล ที่ได้รับความนิยมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มจะลืมเลือน “ประชานิยมแบบแม้ว”ลงไปเรื่อยๆ ซึ่งประชานิยมแบบ “ลุงตู่” จะว่าไปแล้วแม้จะพยายามกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว ซึ่งผิดกับยุคพรรคไทยรักไทยที่ร้ายกาจกว่าก็คือผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มธุรกิจของ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่หรือ

ดังนั้นจะว่าไปแล้วอีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นว่าเรื่อง “ปากท้อง” มันต้องมาก่อนไม่ใช่หรือ ซึ่งแน่นอนว่าต้อมาก่อนเรื่อง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ของบรรดาพรรคฝ่ายค้าน และด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจของฝ่ายรัฐบาลดังกล่าวมันทำให้พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยนั่งไม่ติด เพราะงานนี้หากปล่อยให้แจกไปเรื่อยๆแบบนี้ รับรองว่าเลือกตั้งคราวหน้าต้องเจ็บหนักกว่าเดิมแน่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น