พลังธรรมใหม่ ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน แจ้ง ครม.-คมนาคมให้ชะลอต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนกับ BEM มูลค่า 8.5 แสนล้าน เพื่อแลกกับการยุติคดีพิพาท ตามที่ อสส.ได้ท้วงติง หวั่นรัฐเสียประโยชน์ แนะควรรอมติสภาที่จะถกญัตติด่วน 4 ก.ค.นี้เพื่อตั้ง กมธ.ศึกษา หรือรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา
วันนี้ (1 ก.ค.) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ โฆษกพรรคพลังธรรมใหม่ เป็นตัวแทน นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายปิยะ ลือเดชกุล ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบและยับยั้งการพิจารณาของคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (บอร์ด กทพ.) ที่มีมติต่อสัญญาสัมปทานให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ออกไปอีก 30 ปี เพื่อแลกกับการยุติคดีพิพาท ซึ่ง กทพ.เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในชั้นอนุญาโตตุลาการ และศาลปกครอง
นายจาตุรันต์กล่าวว่า จากกรณีที่ บอร์ด กทพ.มีมติขยายอายุสัญญาสัมปทานให้แก่บริษัท BEM 3 โครงการ คือ โครงการทางด่วนขั้นที่ 1 (ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร) ทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางด่วนศรีรัช) และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด โดยมีการขยายสัมปทานออกไป 30 ปี และสำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อสังเกตและท้วงติงในหลายประเด็นไปยัง กทพ. เช่น ควรมีการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ควรตรวจสอบระยะเวลาที่ได้ขยายไปให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้เจรจากับคู่สัญญา กทพ.ควรจะมีข้อจำกัดให้ปรับค่าผ่านทางได้เฉพาะเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเมื่อคำนวณแล้วเกินกว่าจำนวนคาผ่านทางที่ปรับขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือไม่ พรรคพลังธรรมใหม่จึงเห็นว่าการพิจารณาต่ออายุสัมปทานซึ่งมีมูลค่า 8.5 แสนล้านบาทนั้น อาจจะเกิดความไม่โปร่งใสและเพื่อไม่ให้รัฐต้องเสียผลประโยชน์ซึ่งควรเป็นรายได้ของแผ่นดินจึงได้ยื่นญัตติด่วนเพื่อให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษากรณีการต่อสัญญาสัมปทานให้แก่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาศึกษาถึงผลดีผลเสียของการอนุมัติให้ต่อสัญญา
“แต่ขณะนี้ทราบว่า กทพ.ได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเสนอต่อ ครม.ให้พิจารณาในการประชุม ครม.ในวันที่ 2 ก.ค.นี้ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งเรื่องไปที่กระทรวงคมนาคม และ ครม. เพื่อชะลอการพิจารณาอนุมัติการต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าวในการประชุม ครม.วันที่ 2 ก.ค.นี้ไว้ก่อน เพื่อรอให้สภาฯ พิจารณาญัตติด่วนในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณาศึกษาก่อน รวมทั้งรัฐบาลปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ กำลังจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เร็วๆ นี้ จึงควรรอให้รัฐบาลชุดใหม่ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติการต่อสัญญาสัมปทานแทนรัฐบาลชุดเดิม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรม โดยควรให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาพิจารณาให้เกิดความรอบคอบก่อนต่อสัญญา” นายจาตุรันต์กล่าว
