xs
xsm
sm
md
lg

"ธนาธร"รอดยาก เสี่ยงคุก-หมดอนาคตการเมือง !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา




อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้บรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ที่ผูกติดอนาคตเอาไว้กับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจยายามใช้วิธีสื่อสารผ่านทางโซเชียลเพื่อเร่งเร้าให้บรรดาผู้สนับสนุนไปให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง ธนาธร หลังจากถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)แจ้งข้อกล่าวหากรณีถือครองหุ้นบริษัทวีลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.โดยให้เวลาชี้แจงภายใน 7 วัน

แน่นอนว่าในระหว่างนี้ทาง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คงได้รับหนังสือแจ้งข้อหาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันยังได้แจ้งไปยังผู้ร้องคือ ศรีสุวรรณ จรรยา เพื่อนัดไต่สวนสอบเอกสารพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายในวันศุกร์ที่ 26 เมษายนนี้ เรียกว่าทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ภาวะอารมณ์ลุ้นระทึก เพราะมันเสี่ยงถึงอนาคตทางการเมืองที่กำลังเริ่มต้นไปได้สวย และที่สำคัญยังมีความเสี่ยงต่อเนื่องไปถึงเรื่อง"คุก"ตะรางตามมาอีกด้วย

ปมปริศนาในเรื่องวันเวลาของการโอนหุ้นของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและภรรยาไปให้ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดานั้นเป็นใดกันแน่ นั่นคือวันที่ 8 มกราคม 62 ตามที่ ธนาธรอ้างหรือโอนหุ้นหลังจากนั้นตามที่"สำนักข่าวอิศรา"ไปขุดคุ้ยพิรุธแล้วนำมาเปิดเผย

เพราะความหมายก็คือหากโอนหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียฯเกิดขึ้นวันที่ 8 มกราคมจริงก็เกิดขึ้นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อที่กำหนดเอาไว้ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2562 ก็ถือว่าไม่ขัดกับคุณสมบัติต้องห้ามที่"ถือหุ้นสื่อ" แต่จากเอกสารหลักฐานที่มีการขุดคุ้ยออกมาทำให้ยังเชื่อในวันดังกล่าวเขายังถือครองหุ้น ยังไม่มีการโอนหุ้น เพื่อความเป็นธรรมอาจ"ลืม"ไปว่ามีหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ แต่หลังจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ปรากฏว่าศาลฎีกาได้เพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้งของผู้สมัครรายหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่ในกรณีถือหุ้นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่บริษัทดังกล่าวนี้มีการจดแจ้งครอบคลุมดำเนินกิจการในด้านสื่อทุกประเภทด้วยทำให้มี"ลักษณะต้องห้าม"จนถูกเพิกถอนสิทธิ์ดังกล่าว ซึ่งพยายามองด้วยความเป็นธรรมว่ากรณีของ ธนาธร อาจจะหลงลืมแบบนี้ได้เหมือนกัน และน่าจะใช้วิธีสู้ทางกฎหมายแบบนี้ โดยเฉพาะเป็นบริษัทที่รับจ้างพิมพ์หนังสืออย่างเดียว ไม่ได้ผลิตสื่ออย่างอื่น และกำลังจะเลิกกิจการ ก็ว่าไป

แต่นี่ดันพยายามแก้ต่างอีกแบบจนกลายเป็นเผยข้อพิรุธใหม่ออกมาเรื่อยๆ และเสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสาร และยังเสี่ยงต่อการลากคนอื่นให้โดนคดีอาญา เช่น สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เป็นมารดาในลักษณะปลอมแปลงเอกสารการซื้อขายหุ้นที่มีตัวละครเช่น "หลาน"มาเพิ่มอีกสองคนในการมาซื้อขายหุ้นในภายหลัง

หรือกรณีการช่วยแก้ต่างของ "คู่หู"อย่าง ปิยบุตร แสงกนกกุล กรณีที่ ธนาธร เดินทางออกจากบุรรีรัมย์ในช่วงบ่ายเข้ากรุงเทพฯด้วยการนั่งรถตู้และมีการโชว์หลักฐานเป็นอีซีพาสด่านทางด่วนแถวธัญญบุรีในช่วงเวลาบ่ายสามโมงกว่า เพื่อมาโอนหุ้นในวันเดียวกัน ขณะที่ตัวปิยบุตรเองบอกว่าแยกมานั่งเครื่องบินจากบุรีรัมย์กลับกรุงเทพฯ

เพียงแค่นี้มันก็เป็นพิรุธที่รัดคอตัวเอง และนอกจากไม่เป็นประโยชน์ในทางบวกให้กับธนาธร ได้เลย ในทางตรงกันข้ามกับคำถามง่ายๆก็คือทำไมไม่นั่งเครื่องบินจากบุรีรัมย์กลับมากรุงเทพฯพร้อมกัน ก็เพราะว่าในตั๋วเครืองบินนั้นมันต้องระบุชื่อ นามสกุล และต้องแสดงบัตรประชาชนยืนยันการเดินทางนั่นเอง

อย่างไรก็ดีก็ได้แต่หวังว่าภายในเวลา 7 วันนี้ ธนาธร คงจะสามารถหาหลักฐานมายืนยันกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้สำเร็จ เพราะหากพิสูจน์ไม่ได้มันก็จะส่งผลตามมามากมาย โดยมีกูรูทางกฎหมายหลายคนได้ให้ความเห็นเอาไว้ เช่น เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการด้านการเมือง สปท.ที่ระบุถึงคำว่า "การเลือกตั้งที่ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม"นั้นมีความหมายเพียงใดโดยเทียบเคียงกับ พรป.เลือกตั้ง สส.มาตรา 54 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "หากผู้สมัครรู้อยู่แล้วว่า ตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งแล้วปกปิดหรือไม่แจ้งข้อเท็จจริงนั้น ให้ถือว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม"

ความหมายก็คือในเมื่อ "ธนาธร"รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังปกปิดในเรื่องคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่ง กกต.มีอำนาจสั่งระงับสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครที่กระทำการดังกล่าวเป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี

และที่น่าติดตามก็คือหากผู้สมัครที่กระทำการข้างต้นเป็นหัวหน้าพรรคหรือคณะกรรมการบริหารพรรคด้วยแล้วให้กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคนั้นได้ด้วย และให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น และยังอาจถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีกรณีความเห้นทางกฎหมายของ ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาในศาลฎีกาที่อ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยมีในกรณีการโอนหุ้นมาเปรียบเทียบว่า "การโอนหุ้นจะมีผลจนกว่าได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1129 วรรค 3"

ความหมายก็คือการโอนหุ้นจะสมบูรณ์่อเมื่อมีการแจ้งต่อนายทะเบียนที่มีหลักฐานในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งหากเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าในช่วงวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ที่เป็นวันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ธนาธร ยังถือหุ้นดังกล่าวอยู่ และเข้าข่ายปกปิดคุณสมบัติต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งซึ่งมีโทษอาญาหรือไม่

หากพิจารณาจากพยายนหลักฐานเอกสารที่ทางฝ่ายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจอ้างว่าจะเห็นน่าหวาดเสียว และฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าใดนัก แต่หากยกเอาเรื่องหลงลืมและอ้างว่าบริษัทดังกล่าวเพียงรับจ้างผลิตหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้ทำสื่อประเภทอื่นและกำลังจะเลิกกิจการแล้ว ก็อาจยังพอฟังได้บ้าง แต่เมื่อการแก้คัวปกปิดไปอีกทางก็ยิ่งทำให้ถลำลึกเข้ารกเข้าพงไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ดังนั้นหากพิจารณากันตามตัวบทกฎหมาย และส่อเจตนาปกปิดความผิดมันก็ยิ่งน่าเป็นห่วงว่าผลสะท้อนที่จะกลับมาน่าจะเหนือความคาดหมาย ซึ่งเท่าที่มองเห็นมันเสี่ยงทั้งคุกและอนาคตทางการเมือง และที่สำคัญนาทีนี้ดูแล้ว รอดยาก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น