xs
xsm
sm
md
lg

ส่องอนาคตใหม่-เพื่อไทย พันธมิตรเฉพาะกิจแย่งซีนประชาธิปไตย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา




ต้องยอมรับกันว่าตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สร้างกระแสร้อนแรงได้เกินคาด หลังจากจับจุดอารมณ์ของพวก “เด็กรุ่นใหม่” หรือพวกที่เล่นกับสื่อโซเชียลอย่างได้จังหวะ ประกอบกับกลยุทธ์สร้างพันธมิตรกับเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร จนได้แรงส่งจากฐานเสียงของ “พรรคไทยรักษาชาติ” ที่ถูกยุบไป ทำให้ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยคะแนนเสียงที่ถล่มทลาย เรียกว่า “กระแสแรง” ไม่เบา

และแม้ว่าในเวลานี้เมื่อพิจารณาจากระดับดีกรีความร้อนแรงจะยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกัน ก็มาพร้อมกับ “ความเสี่ยง” ที่จะตามมาหลายอย่าง ที่อาจถึงขั้นพังกันในที่สุด เพราะเชื่อว่าสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วคงต้องเดินหน้าเดินในแนวทางแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่านี่คือ “จุดขาย” ที่ต้องสร้างเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น “แนวทางฝ่ายซ้าย” เน้นย้ำในเรื่อง “ประชาธิปไตย” ต่อต้านเผด็จการ

อย่างไรก็ดี ในโลกการเมืองยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจนคาดเดายาก เพราะวันนี้อาจจะ “เด่นดัง” แต่เพียงชั่วข้ามคืนอาจเกิดอาการสะดุดไปอีกทางก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาจะมีผลพวงที่ต่อเนื่องมาจากพฤติกรรม และการเคลื่อนไหวในอดีตในอีกบทบาทหนึ่ง เหมือนกับที่เริ่มกระทบให้เห็นบ้างแล้ว นั่นคือบทบาทของแกนนำคนสำคัญคือทั้งตัว ธนาธร เอง รวมไปถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ที่เรียกว่า “อดีตตามหลอน” อยู่ในเวลานี้

แน่นอนว่า สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ หรือระดับแกนนำพวกนี้กำลังนำมาใช้ ก็คือ การใช้วิธี “ปลุกมวลชนเป็นเกราะกำบัง” ภายใต้ภาพของนักสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ นักสิทธิมนุษยชน สังเกตได้จากการที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกออกหมายเรียกจากเจ้าพนักงานหลังมีฝ่ายกฎหมายของ คสช.แจ้งความให้ดำเนินคดีตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ตั้งแต่ปี 2558

อย่างไรก็ดี เมื่อเขาถูกดำเนินคดีถูกฟ้องในศาลทหาร มันก็สามารถใช้ “เป็นเงื่อนไข” สร้างกระแสทั้งในและนอกประเทศได้อย่างดี เพราะคงมีหลายคนที่ข้องใจว่าทำไมต้องให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร ซึ่งทางฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชี้แจงว่า เป็นเพราะคดีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นจะต้องขึ้นศาลทหารเหมือนกันหมดก็ตาม แต่เชื่อว่าในสายตาของสังคมต้องมีคำถามแน่นอน

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ในวันที่เขาเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน ตามหมายเรียกจะมีมวลชนไปคอยให้กำลังใจ ที่น่าสนใจก็คือ มีเจ้าหน้าที่ที่อ้างว่ามาจากสถานทูตพวกฝรั่งเดินทางมาด้วย แม้ว่าทางกระทรวงการต่างประเทศ จะระบุว่ าเป็นคำเชิญส่วนตัวจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้ไปสังเกตการณ์ หรือจะมองเป็นการสร้างกระแส สร้างเกราะกำบังอะไรก็ว่ากันไป

แต่การที่ชู “สามนิ้ว” สร้างสัญญลักษณ์ต้านเผด็จการ รวมทั้งให้สัมภาษณ์โจมตีดุเดือดมองดูเผินๆสำหรับบางคนแล้ว “มันเท่” ไม่หยอกทีเดียวเชียว แต่เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล คงต้องเบรกกระแสเอาไว้ชั่วคราวก่อน

แต่ที่เป็นความเสี่ยงน่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า เพราะเวลานี้ได้มีคนไปร้องเรียนเอาไว้หลายเรื่อง อย่างน้อยก็มีเรื่อง “หุ้นสื่อ” กรณีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่กำลังกลายเป็นเรื่องพันคอตัวเอง จะสามารถดิ้นรนหลุดออกไปได้หรือไม่ เพราะการชี้แจงที่ผ่านมาแทบจะไม่ซ้ำกันหรือเกิดข้อพิรุธใหม่ตามมาเรื่อยๆ เรื่องคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงก็มีคนไปร้องจากกรณีที่การแถลง “สืบสานภารกิจคณะราษฎร์” ให้สำเร็จ แต่ถึงอย่างไรเรื่อง “โอนหุ้นสื่อ” ถือว่าน่าหวาดเสียวที่สุด

ขณะ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่เวลานี้เลือกที่จะ “เก็บตัวเงียบ” หลังจากถูกสังคมสอบเค้นเรื่อง “ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันฯ” มีการแจ้งความดำเนินคดีตามมามากมาย จนน่าจับตาว่าในที่สุดแล้วจะจบลงแบบไหน แม้ว่าเจ้าตัวจะรีบปฏิเสธเบี่ยงเบนไปว่านั่นเป็นบทบาทสมัยเป็นนักวิชาการ และไม่ได้หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหน เพราะในยุคโซเชียล ทุกคนพูดทุกคลิปมีหลักฐานละเอียดยิบ ทุกคนมีวิจารณญาณคิดได้ว่าจะเห็นแบบไหน

จากบทบาทของทั้งคู่ที่เป็นแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อนหน้านี้ ถือว่าร้อนแรง แต่ในวันข้างหน้าจะเป็นแบบไหน เพราะหากพิจารณาเท่าที่เห็นในเวลานี้ถือว่า มี “ความเสี่ยง” ตามมามากมาย ทั้งในแง่ของความแตกแยก ความรุนแรง เพราะการเคลื่อนไหวและทัศนคติที่ว่าย่อมสุ่มเสี่ยง และแน่นอนว่าหากมีการประเมินแบบเผินๆ อาจได้ใจพวก “เด็กรุ่นใหม่” ที่เพิ่งได้ใช้สิทธิครั้งแรก ที่เชิดชูสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย แต่หลังจากมีการแฉเรื่องการโอนหุ้นสื่อที่เป็นเรื่องระเบียบกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับเสียงข้างมาก หรือเรื่องที่ถูกเค้นถามเรื่องทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มันยิ่งเสี่ยงหนักเข้าไปอีก เพราะน่าจะทำให้มวลชนอีกส่วนหนึ่งต้องถอยออกมา

ขณะเดียวกัน หากกล่าวถึงมวลชนก็ต้องพิจารณาในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า ฐานเสียงในเวลานี้ของพรรคอนาคตใหม่ มีความ “ทับซ้อน” กับ “เครือข่ายทักษิณ ชินวัตร” โดยเฉพาะหลังจากมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่มีการโอนคะแนนไปยังพรรคอนาคตใหม่ในช่วงโหวต ซึ่งหากยังจำกันได้คนที่ออกมาส่งเสียงลอยลมตามหลังมาแบบน้ำเสียง “ไม่ค่อยพอใจนัก” ก็คือ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผู้สมัครบัญชีรายชื่อจากพรรคไทยรักษาชาติ นั่นเอง เพียงแต่ว่ากระแสถูกกลบไปหลังวันเลือกตั้ง

สิ่งที่น่าจับตาต่อไป ก็คือ ทั้งสองพรรคคือพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่จะสามารถเป็นพันธมิตรกันได้อย่างถาวรหรือไม่ คำตอบก็คือ “น่าจะไม่” เพราะการเติบโตของพรรคอนาคตใหม่ก็ย่อมหมายถึงความเสื่อมถอยของพรรคในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดนั่นเอง และหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทั้ง ทักษิณ และระดับแกนนำจะ “ทิ้งระยะห่าง” เอาไว้ในที ไม่ชื่นชมยินดีแบบออกนอกหน้า แม้ว่านาทีนี้จะยังมองเห็นภาพไม่ชัด แต่รับรองว่าในอนาคตหากพรรคอนาคตใหม่ หรือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เติบโตทางการเมือง ก็จะสร้างผลกระทบโดยตรงกับพวกเขา

เพราะนั่นย่อมหมายความว่า จะเกิด “ไอดอลใหม่” แทน ทักษิณ ชินวัตร หรือคนในพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงพวกแกนนำ นปช.ที่แม้ว่าจะเริ่มเสื่อมถอยแล้ว แต่การมาของ ธนาธร และอนาคตใหม่ หากยืนระยะได้นาน ก็จะยิ่งโดดเด่น ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วมันคงเป็นเนื้อเดียวกันได้ยาก เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมองไม่ชัดเท่านั้นเอง

ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตามองว่าพรรคอนาคตใหม่จะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะบทบาทของแกนนำต่างร้อนแรงเล่นเกมเสี่ยง ความแตกแยก จนอาจยืนได้ไม่นานก็ได้ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น