“คำนูณ” ชี้ปัญหาคดีหุ้นสื่อ “ธนาธร” กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่ามีการขายหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง 6 ก.พ.จริง เพราะเอกสารที่ทางราชการรับทราบการโอน คือ 21 มี.ค. โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1129 วรรคสาม ระบุว่า “การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น” ตั้งข้อสงสัยหากแค่จดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นที่บริษัท โดยไม่แจ้งต่อนายทะเบียนฯที่กระทรวงพาณิชย์ อาจมีการลงวันที่ใดก็ได้หรือทำขึ้นย้อนหลังหรือไม่
วันนี้ (30 มี.ค.) นายคํานูณ สิทธิสมาน ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีหุ้นบริษัท วี-ลัคมีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
มีรายละเอียดว่า ....
หุ้นสื่อมวลชนของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ !
___________
เดิมที รัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ไว้ในมาตรา 48 หมวดสิทธิเสรีภาพ ต่อท้ายมาตราว่าด้วยคลื่นความถี่ และย้ำอีกทีไว้ในมาตรา 265-268 ว่าด้วยการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ห้ามทั้งส.ส., ส.ว. และรัฐมนตรี
หมายความว่าถ้ามีหุ้นดังกล่าวอยู่ก็ให้จัดการเสียให้เรียบร้อยก่อนเมื่อจะดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ไม่ใช่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนมาสมัครรับเลือกตั้ง
ส่วนโทษของการกระทำต้องห้ามนั้น ถ้ายังคงมีหุ้นกิจการดังกล่าวอยู่ในระหว่างดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะโดยเหตุใด ถือเป็นเหตุที่จะทำให้ขาดจากสมาชิกภาพและพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 106, 119 และ 182 ทั้งนี้โดยกระบวนการที่จะไปจบที่การวินิึจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 91
แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ยกระดับขึ้นไปอีกในทุกมิติ
คือห้ามตั้งแต่ขั้นตอนสมัครรับเลือกตั้ง !
โดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) ลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ซึ่งก็ถูกโยงไปเป็นลักษณะต้องห้ามของการเป็นส.ว.และรัฐมนตรีด้วยตามมาตรา 108 และ 160
“(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ”
โดย พ.ร.ป.เลือกตั้งฯนำมาเขียนรับไว้ในมาตรา 42 (3)
ตรงนี้แตกต่างจากเดิมชัดเจน คือ ห้ามถือหุ้นฯตั้งแต่ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเลย
ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันไปยื่นใบสมัคร
นอกจากนั้น โทษของการกระทำการอันมีลักษณะต้องห้ามประการนี้ ยังไม่ใช่แค่ขาดสมาชิกภาพและพ้นจากตำแหน่งเหมือนรัฐธรรมนูญ 2550 เท่านั้น
แต่ถ้ารู้อยู่แล้วยังคงกระทำไป มีโทษหนักทั้งทางอาญาและทางการเมือง
บัญญัติอยู่ใน พ.ร.ป.เลือกตั้งฯมาตรา 151
- จำคุก 1-10 ปี
- ปรับ 20,000-200,000 บาท
- เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
ประเด็นของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวโดยสรุปคือ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 สำนักข่าวอิศรารายงานว่าเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 มีการแจ้งวันเปลี่ยนแปลงทะเบียนผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัคมีเดีย อันเป็นกิจการผลิตนิตยสารที่เขากับภรรยาเคยถืออยู่จำนวนหนึ่งไปให้มารดาของเขาต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. 6 กุมภาพันธ์ 2562 จึงตั้งคำถามว่าจะเข้าลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
https://www.isranews.org/isranews…/74945-report00-74945.html
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ชี้แจงในวันรุ่งขึ้น โดยมีเอกสารประกอบว่าความจริงแล้วเขาขายหุ้นให้มารดาตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 ก่อนวันสมัครรับเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน
คือกำลังบอกว่าโอนหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่บริษัทแจ้งต่อนายทะเบียนฯหลังวันสมัคร
มีผู้ไปร้องเรียนต่อ กกต.ให้สอบสวนเรื่องนี้
ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม 2562 สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่เอกสารลงวันที่ 22 มีนาคม 2562 ที่บริษัท วี-ลัคมีเดีย แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 มีนัยให้เข้าใจได้ว่า วันที่ 19 มีนาคม 2562 มีการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น กรรมการและผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุม 10 คน ซึ่งน่าจะรวม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและภรรยาด้วย
คำถามคือถ้าทั้งสองโอนหุ้นตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 แล้วจะมาเข้าร่วมประชุมในวันที่ 19 มีนาคม 2562 อีกทำไม
https://www.isranews.org/isranews/75047-report00-75047.html
ล่าสุด เจ้าตัวชี้แจงว่าตนและภรรยาไม่ได้ร่วมประชุมในวันที่ 19 มีนาคม 2562 ส่วนทำไมมีเอกสารแจ้งไปยังนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯเช่นนั้นไม่ทราบ และเปิดประเด็นใหม่ว่าสาเหตุที่ขายหุ้นให้มารดาเพราะบริษัทกำลังจะเลิกกิจการ
ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณา คือ ในกรณีสมัครรับเลือกตั้งโดยปราศจาก “ลักษณะต้องห้าม” นี้จะยึดถือวันใดเป็นวันโอนหุ้นจริง
1. ยึดวันที่บริษัทฯแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ - วันที่ 21 มีนาคม 2562
หรือ...
2. ยึดถือวันที่มีการโอนกันจริงตามที่อ้าง - วันที่ 8 มกราคม 2562
มีข้อกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีนี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 1129 วรรคสาม
“มาตรา 1129 อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
“การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้นๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่ง ตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย
“การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”
ประเด็นตามวรรคสามนี้ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าโดยตัวบทแล้วหมายถึงการจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นหมายถึงสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นที่ตั้งอยู่ ณ บริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ต้องไปแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติจะไปแจ้งต่อนายทะเบียนฯปีละ 1 ครั้ง
แต่อีกฝ่ายเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอยู่ที่บริษัท คนภายนอกจะรู้ได้อย่างไรหากไม่แจ้งต่อนายทะเบียนฯที่กระทรวงพาณิชย์ เอกสารโอนหุ้นทำกันโดยลงวันที่ใดก็ได้ คนภายนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าโอนจริงตามวันที่ในเอกสารหรือทำขึ้นย้อนหลัง
โดยเฉพาะในกรณีนี้ที่ “คนภายนอก” เป็น “กกต.” ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะสกรีนบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามออกไปจากการอาสามาเป็นผู้แทนประชาชน !
กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยังถือหุ้นปัญหาอยู่หรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะเอกสารที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันที่ 21 มีนาคม 2562 ?
หาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะได้แนบสำเนาตราสารโอนหุ้นวันที่ 8 มกราคม 2562 ต่อ กกต.เสียในวันสมัครรับเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ก็น่าจะจบปัญหา
แต่ก็ไม่ได้ยื่น เพราะ กกต.ไม่ได้กำหนดให้ยื่น โดยใช้วิธีเพียงให้ผู้สมัครทุกคนลงนามรับรองคุณสมบัติโดยรวมของตนเองไว้เท่านั้น
มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 นี้ให้เทียบเคียงหลายคดี
_______________
กระบวนการสอบสวนจะเริ่มต้นจาก กกต.
ถ้า กกต.เห็นว่าเข้าข่ายขัดกฎหมาย
เรื่องจะไปจบที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง