xs
xsm
sm
md
lg

“นายกฯ” ลั่น 5 ปี คสช.นำความสงบสุขคืนสู่ชาวไทย แจงปัญหาประเทศเป็นเชิงโครงสร้างแก้ไขต้องใช้เวลา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ประยุทธ์” ลั่นเป็นปีที่ 5 ที่ คสช. นำความสงบสุขกลับคืนมาสู่พี่น้องชาวไทย แจงปัญหาประเทศเป็นเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยเวลาและกลไกประชารัฐในการแก้ไข จึงต้องกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีพร้อมการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน

วันนี้ (4 ม.ค.) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า สวัสดีปีใหม่พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในคืนวันนี้ เป็นครั้งแรกของปีใหม่ พ.ศ. 2562 ซึ่งก็เป็นปีใหม่ครั้งที่ 5 ที่รัฐบาล และ คสช. นำความสงบสุข กลับคืนมาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทย ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข และนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาจจำเป็นต้องอาศัยเวลา และการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ที่เราเรียกว่า กลไกประชารัฐ ทำให้เราต้องกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ตามที่เราทุกคนทราบกันดีแล้วในขณะนี้ บางเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไกลตัว ตนก็อยากให้คิดว่าเป็นความรู้รอบตัว เราจะเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขบางเรื่องที่ใกล้ตัว

นายกฯ กล่าวอีกว่า อยากให้ทุกคนได้รับรู้ เข้าใจ และร่วมมือกัน คิด-พูด-ทำ ในสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อจะได้ไม่เสียสิทธิ์ ถูกโกงสิทธิ์ และรักษาสิทธิ์ของตนเอง ที่สำคัญคือ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะสังคมประชาธิปไตย เราทุกคนนั้นมีเสรีภาพ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ทั้งเรื่อง ใกล้และไกลตัว ของแต่ละคน

“รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลของคนไทย ทั้งประเทศ เราจะต้องดูแลทุกพื้นที่ ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาหนี้นอกระบบ ของพี่น้องเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นคนส่วนใหญ่ ของกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากปัญหานี้ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน ก็จะเป็นเหมือน มะเร็งเรื้อรัง ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศไม่มีวันสิ้นสุด” นายกฯ กล่าว
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [4 มกราคม 2562]



สวัสดีปีใหม่ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในคืนวันนี้ เป็นครั้งแรกของปีใหม่ พ.ศ. 2562 ซึ่งก็เป็นปีใหม่ครั้งที่ 5 ที่รัฐบาล และ คสช. นำความสงบสุข กลับคืนมาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทย ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข และนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อย่างไรก็ตามปัญหาของประเทศเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาจจำเป็นต้องอาศัยเวลา และการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ที่เราเรียกว่า กลไกประชารัฐ ทำให้เราต้องกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ตามที่เราทุกคนทราบกันดีแล้วในขณะนี้ บางเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่องที่ ไกลตัวผมก็อยากให้คิดว่าเป็นความรู้รอบตัว เราจะเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขบางเรื่องที่ ใกล้ตัว ผมก็อยากให้ทุกคนได้รับรู้ เข้าใจ และร่วมมือกัน คิด-พูด-ทำ ในสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อจะได้ไม่เสียสิทธิ์ ถูกโกงสิทธิ์ และรักษาสิทธิ์ของตนเอง ที่สำคัญคือไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะสังคมประชาธิปไตย เราทุกคนนั้นมีเสรีภาพ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ทั้งเรื่อง ใกล้และไกลตัว ของแต่ละคน ผมได้นำมากล่าวแล้วในรายการนี้ และทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส เพราะรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลของคนไทย ทั้งประเทศ เราจะต้องดูแลทุกพื้นที่ ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาหนี้นอกระบบ ของพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นคนส่วนใหญ่ ของกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากปัญหานี้ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน ก็จะเป็นเหมือน มะเร็งเรื้อรัง ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศไม่มีวันสิ้นสุด

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน ได้บังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนผู้ด้อยโอกาส จนสามารถไกล่เกลี่ย ส่งคืนทรัพย์สินให้กับประชาชน ราว 15,000 คน ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 16,000 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน มากกว่า 11,700 ฉบับ พื้นที่รวมประมาณ 37,000 ไร่ โดยขณะนี้ก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พี่น้องประชาชนที่ยังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็ขออย่าได้ลังเล สามารถโทรสายด่วน 1155 ได้ตลอดเวลา

พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้ ผมขอหยิบยก อีก 2 ประเด็นหลักๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาในอดีตได้อย่างยั่งยืน เรื่องแรกก็คือ ปัญหาด้านการศึกษา เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ส่ง ผลร้ายต่อพัฒนาการของประเทศมายาวนาน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งหนึ่งในต้นตอของปัญหาของความเหลื่อมล้ำของไทยก็คือการศึกษา ที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเป็นประตูสู่โอกาส ทำให้ประชาชนเข้าถึงความรู้ ความเข้าใจ ได้รับประสบการณ์และทักษะในการประกอบสัมมาอาชีพ ซึ่งก็จะเป็นพื้นฐานในการสร้างรายได้ การปรับเปลี่ยนและพัฒนาตนเอง ให้เข้ากับภาวะแวดล้อมใหม่ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการเรียนรู้ รับฟัง และวิเคราะห์ข่าวสารข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตได้ ที่สำคัญ ความรู้ คู่คุณธรรม เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกัน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

ประเด็นการพัฒนา ปฏิรูปการศึกษานี้ เป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ และพยายามแก้ไขปัญหาในหลายๆ ด้านมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีงบประมาณและลงทุนด้านการศึกษามากกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี แต่ปัญหานี้ยังคงเรื้อรังและรุนแรงขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทาง เศรษฐกิจ สังคม เป็นอุปสรรคสำคัญของประเทศไทย ในการที่จะก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง รัฐบาลนี้ได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาและผู้สนับสนุนจากหลายฝ่าย เร่งดำเนินการสำหรับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำ ในการศึกษา เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณ ให้แก่กองทุน โดยให้กองทุนมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อจะดูแลและส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาในหลายมิติ เช่น ส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการสมวัยและพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษาช่วยเหลือและสนับสนุนให้เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ด้อยโอกาส ได้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับการศึกษาและพัฒนาศักยภาพ ทักษะในการประกอบอาชีพตามความถนัด ส่งเสริมสถานศึกษาให้มีการเรียนการสอน ที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนตามความถนัดและศักยภาพของตน อีกทั้ง ให้มีการพัฒนาคุณภาพครูให้สามารถจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนตามพื้นฐาน และศักยภาพที่แตกต่างกัน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา และสนองความต้องการด้านกำลังแรงงานของประเทศ เนื่องจากการทำงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษานี้ ต้องดูแลกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ไปจนถึงกลุ่มวัย 18 ปีขึ้นไปทั้งหมด รวมทั้งสิ้นประมาณ 4.3 ล้านราย ซึ่งต้องดำเนินการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยอย่างตรงจุด และงบประมาณไม่รั่วไหล ในการนี้ ทาง กสศ. ได้จัดให้มีระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือเรียกว่า ไอ-ซี ที่เป็นระบบรายงานข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data ของ กสศ. เพื่อจะช่วยให้ผู้ทำนโยบายมองเห็นสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และเป็นเครื่องมือให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางศึกษา เพื่อไม่ให้มีเยาวชนคนใดถูกทอดทิ้ง โดยทั้ง กสศ. และ สพฐ.ได้เริ่มดำเนินงานแล้วในปีการศึกษา 2561 และเมื่อมีการพัฒนาแล้วเสร็จระบบ ISEEจะประกอบด้วยข้อมูลของเด็กและเยาวชน ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ และด้อยโอกาสมากกว่า 4 ล้านคนทั้งในและนอกระบบการศึกษา เชื่อมโยงกับเลขประจำตัว 13 หลักของเด็ก และครอบครัว กับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของรัฐ หรือ 6 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ อาทิ สถานะครัวเรือน ภาพถ่ายสภาพบ้านเรือน รายได้ผู้ปกครอง ข้อมูลเด็กด้านสุขภาพ สภาพปัญหา พฤติกรรมเสี่ยง ความต้องการด้านการเรียน ความช่วยเหลือ อัตราการมาเรียน และผลการเรียน เป็นต้น

ข้อมูลที่รายงานผ่านระบบ ISEE นี้ ประกอบด้วยข้อมูลจากฐานข้อมูล Big Data จากโครงการใน 4 ส่วนหลักคือ
1.ข้อมูลผลการค้นหา และคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย ได้มีการพัฒนาจนสามารถครอบคลุมการคัดกรองนักเรียนในสังกัด สพฐ.มากกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ โดยใช้ข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลรายได้ สถานะครัวเรือน ภูมิสารสนเทศของนักเรียนและครอบครัว เป็นต้น

2.ข้อมูลผลการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข โดยมุ่งจัดสรรงบประมาณ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นรายบุคคล ผ่านการจัดสรรงบประมาณให้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนอย่างแท้จริง ระบบ ISEE จึงสามารถรายงานการได้รับเงินอุดหนุนของนักเรียนทั้ง 5 แสนคนได้เป็นรายบุคคล ทั้งการโอนเงินเข้าสู่บัญชีเงินฝากของนักเรียนและผู้ปกครอง หรือภาพถ่ายพร้อมพิกัด GIS ของการรับเงินสดของนักเรียนและผู้ปกครอง โดยมีการลงชื่อรับรองการรับเงินอิเล็กทรอนิกส์กำกับด้วย

3.ระบบติดตามเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุน โดยจะมีการรายงานเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุนของแต่ละคน ที่ครูกรอกเข้ามาเป็นรายภาคการศึกษา ซึ่งจะต้องรายงานการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน CCT ที่ช่วยครูประหยัดเวลาในการติดตาม และบันทึกผลการปฏิบัติงานตามเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุนของนักเรียนยากจนพิเศษ ที่กำหนดไว้ว่า ต้องมีอัตราการมาเรียนเกินกว่าร้อยละ 80 ตลอดปีการศึกษา รวมทั้งพิจารณาน้ำหนักและส่วนสูงของเด็ก เพื่อดูแลให้มีพัฒนาการที่สมวัยโดยแอปพลิเคชัน CCT จะเชื่อมข้อมูลน้ำหนักและส่วนสูงของนักเรียนที่มีการบันทึกเข้ามาโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ครูจะสามารถแจ้งนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน โดยการทำงานในทุกขั้นตอนนี้ ไม่ได้ใช้กระดาษเลย

4.ระบบส่งต่อข้อมูลเชื่อมกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่างๆ ผ่านหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก สำหรับบูรณาการการทำงาน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของ กสศ. เข้ากับ 6 กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเรียกดูข้อมูลรายงาน สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ และจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษได้ตลอดเวลา รวมทั้งข้อมูลของสถานศึกษาทั้ง 30,000 แห่ง ผลการเบิกจ่ายงบประมาณของกองทุนฯ ทั้งในระดับประเทศ จังหวัด สถานศึกษา ไปจนถึงระดับผู้เรียน ซึ่งต่อไปจะเชื่อมโยงกับข้อมูลของโครงการลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ ของภาครัฐอีกด้วย เช่น โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ แลโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลในระบบ ISEE นี้ ผ่านการคัดกรองและตรวจสอบถึง 3 ชั้น ได้แก่ (1.) การตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ ทั้งด้านรายได้และสถานะครัวเรือน ผ่านแอปพลิเคชัน CCT (2.) การรับรองข้อมูลของทั้งผู้ปกครอง ครู และกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน (3.) การรับรองของคณะกรรมการสถานศึกษาที่ประกอบด้วยผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยหลังการเปิดระบบเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา มีนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขทั้งสิ้นกว่า 4 แสนราย

ที่ผ่านมาการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของประเทศยังถือว่าทำได้ไม่มากเท่าที่เราคาดหวัง ส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณที่ลงไปสนับสนุนไม่ตรงจุดอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ยังมีความเหลื่อมล้ำให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ระบบ ISEE นี้ ถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยภาครัฐ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรงกับความต้องการของเยาวชนของชาติแต่ละรายได้ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขที่นักเรียนต้องปฏิบัติ เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออีกด้วย

ผมขอขอบคุณทุกท่าน ที่ช่วยกันพลิกโฉมการบริหารจัดการระบบการศึกษาของประเทศ และขอให้ กสศ. กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งดำเนินการเพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนและครูในการกรอกข้อมูลที่ถูกต้อง และทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลที่ต้องดูแลความเป็นส่วนตัวของข้อมูลนักเรียนเหล่านี้ด้วย

นอกเหนือไปจากการทำงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาแล้ว รัฐบาลนี้ยังเร่งวางรากฐานการปฏิรูปและพัฒนาการศึกษา เพื่อจะรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ โดยช่องทางหนึ่งที่สำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนให้จัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา ขึ้น อันเป็นแนวคิดการสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา ภายใต้บทบาทความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับบริษัท มูลนิธิ องค์กร หรือสถาบันต่างๆ จำนวนมาก ที่ให้การสนับสนุนทรัพยากร และมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาตามโครงการนี้ โดยได้ทำงานร่วมกันตามรูปแบบประชารัฐ ในปีที่ผ่านมามีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ 50 แห่ง จาก 34 จังหวัด และในปีนี้ จะขยายให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งสิ้น 185 แห่ง

เป้าหมายของการยกระดับการศึกษา ตามโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนานี้ ได้แก่ การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการบริหารจัดการ ร่วมพัฒนาและสนับสนุนสถานศึกษา เพื่อจะพัฒนาคุณภาพและสร้างนวัตกรรมในการบริหารจัดการสถานศึกษา ให้สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่ผู้เรียน เพื่อจะให้สถานศึกษาได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างทั่วถึง สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคนในชุมชนอีกด้วย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิต และนำไปสู่การช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศได้

ในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดโรงเรียนร่วมพัฒนานี้ ได้มีการปลดล็อคกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการบริหารงานบุคคล และลักษณะวิชาการให้เหมาะสม อีกทั้งได้มีการกำหนดรูปแบบและเกณฑ์การคัดเลือกสถานศึกษา เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบของโรงเรียนร่วมพัฒนา มีการคัดเลือกภาคเอกชนและผู้ร่วมสนับสนุน มีการวางระบบการบริหารการเปลี่ยนแปลง และการขยายผลความสำเร็จในอนาคต

ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการส่งเสริมโรงเรียนร่วมพัฒนา ได้แก่

1. การมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษา ทั้งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนในพื้นที่

2. การบริหารงานบุคคล ที่เอกชนผู้สนับสนุน จะเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการสถานศึกษาหรือที่ปรึกษา ที่สามารถประเมินผลงาน และคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานต่อไปได้อีกด้วย

3. การบริหารงบประมาณ ที่มีการจัดทำบัญชีให้ตรงกับมาตรฐาน ตรวจสอบได้ โดยจัดทำบัญชีแยกต่างหากจากงบประมาณจากภาครัฐ อย่างชัดเจน

4. การบริหารงานวิชาการ ที่มีการร่วมพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และบริบทของสถานศึกษา

และ 5. การติดตามผลและวิจัยในระดับองค์การและระดับสถานศึกษา ในรูปแบบคณะทำงานและการสรรหาบุคคลภายนอก มาเป็นผู้ติดตามประเมินผลด้วย

โครงการนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาบุคลากรของประเทศ ให้มีทักษะที่เหมาะสมกับความต้องการ และความชอบของตนเอง รองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค 4.0 และสอดคล้องกับความต้องการของเอกชน ในการขับเคลื่อนกิจกรรมการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ผมขอชื่นชมนะครับ ขอขอบคุณทุกฝ่าย ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินงานให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง ทำให้การปฏิรูปทางการศึกษาของประเทศได้ก้าวข้ามอุปสรรคไปอีกหนึ่งขั้น

ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายสถานศึกษา ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งหากภาคเอกชน บริษัทห้างร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่โรงเรียนตั้งอยู่นั้น มีความสนใจ ก็สามารถจะเข้ามาร่วมกันสนับสนุนสถานศึกษา ช่วยลูก ช่วยหลานของเราในชุมชน และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพเยาวชนให้กับประเทศได้

พี่น้องประชาชนที่รักครับ สำหรับเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องการสร้างความยั่งยืนให้กับการประมงของไทย แม้ว่าประเทศไทยจะได้ชื่อว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติก็ตาม หากเราไม่มีการบริหารจัดการ หรือไม่รักษาสมดุล หรือใช้อย่างไม่ยั้งคิด ไม่ทดแทน ไม่ให้โอกาสฟื้นฟู สุดท้ายลูกหลานของเรา จะพบกับความขาดแคลนได้

การทำการประมงของไทยในอดีต มีการใช้เครื่องมือทำลายล้างมากมายและรุนแรง ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำลดลง ทำให้ต้องออกเรือไกลขึ้นกว่าจะหาปลาได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของลูกเรือไม่ดี เกิดปัญหาในการใช้แรงงานบังคับและค้ามนุษย์ ประกอบกับกฎกติกาที่มีอยู่มีความล้าสมัย ทั้ง พ.ร.บ. ประมง พ.ศ. 2490 และ พ.ร.บ. เรือไทย พ.ศ. 2481 ไม่เป็นสากล จนเกิดปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU) และปัญหาการค้ามนุษย์ตามมา ประเทศไทยอาจจะไม่สามารถส่งสินค้าประมงไปประเทศอื่นๆ ได้ เนื่องจากเขาต้องการรับซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ หมายถึง มีที่มาที่ไป ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และไม่ใช้แรงงานจากการค้ามนุษย์

รัฐบาลนี้ได้เข้ามาแก้ไขปัญหา ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ก็ได้ยึดหลักแก้ปัญหาด้วยการทำประมงที่ยั่งยืน ส่งผลดีต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน ให้มีรายได้ โดยจะต้องเคารพกติกาสากล ด้วยการรักษาความสมดุล 3 ส่วน ก็คือ เรือจับปลา คนจับปลา และการทำการประมงที่มีกฎกติการองรับ โดยได้กำหนดกรอบการทำงานออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการจัดการกองเรือ ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และด้านแรงงานภาคประมง ซึ่งต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน ด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องชาวประมง จนนำมาสู่การจัดสรรวันทำประมงตามตารางที่กำหนด แยกตามกลุ่มสัตว์น้ำและเครื่องมือประมง โดยมีการออกใบอนุญาตทำการประมงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ

ผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เห็นได้จากบันทึกการทำประมงของชาวประมงพาณิชย์ในปี 2561 ที่มีปริมาณการจับสัตว์น้ำได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2560 ประมาณ 200,000 ตัน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน และเครือข่ายสมัชชาประมงพื้นบ้านประเทศไทย ว่าสามารถจับสัตว์น้ำได้มากขึ้น ปลาตัวใหญ่ขึ้น

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลได้มอบหมายให้กรมประมงปรับเพิ่มวันทำการประมง ประจำปีการประมง 2561 เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2562 สำหรับเรือประมงพาณิชย์ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน อันเป็นผลสัมฤทธิ์จากการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ที่ทำให้ท้องทะเลไทยมีความยั่งยืน ซึ่งเป็นทิศทางจากการทำงานของรัฐบาลนี้ในเวลากว่า 3 ปี ที่ผ่านมา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนให้กับภาคการประมงของไทย ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ พี่น้องชาวประมงทั้งหลาย ทั้งระบบ

พี่น้องประชาชนที่รักครับ สภาพแวดล้อมของโลก นับว่าเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราจำเป็นต้องสนใจ ติดตามและรู้อย่างเท่าทัน เพื่อการปรับตัวให้สอดรับการสถานการณ์ อาทิ สงครามการค้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก ในช่วงปี 2562 นี้ ก็ขอให้ทุกคนได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเงิน การคลังของประชาคมโลก ประเทศต่างๆ รวมไปถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจของไทย และพวกเราทุกคน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดังนั้น เราต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในของเราเองให้ได้ ต้องช่วยกัน ต้องพัฒนา ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปด้วย

ส่วนความเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศที่ปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้น เราควบคุมได้ยาก แต่สามารถจะบรรเทาผลกระทบได้ หากมีการเตรียมและการสร้างการรับรู้ที่ดี อาทิ พายุโซนร้อนปาบึก ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศแจ้งเตือนมาอย่างต่อเนื่องนั้น ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ทะเลอ่าวไทย และขึ้นฝั่งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ของไทย เป็นเหตุให้ภาคใต้จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก มีน้ำสะสมเพิ่มขึ้น จนอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ และทะเลก็จะมีคลื่นสูง โดยจังหวัดทางภาคใต้ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันอาจจะได้รับผลกระทบในวงกว้าง รัฐบาลได้มีการแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน และเตรียมการในทุกด้านล่วงหน้า โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้เน้นย้ำให้แต่ละจังหวัดเฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ำ ประเมินสถานการณ์และแนวโน้มอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เตรียมแผนเผชิญเหตุ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการรับมือ ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูปัญหา ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงภัยในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้านด้วย อาทิ ด้านการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ทั้งอาหาร เวชภัณฑ์ ยารักษาโรค ชุดเคลื่อนที่เร็ว รถและเรือกู้ภัย ระบบไฟฟ้าสำรองและการสื่อสาร ที่ต้องมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงเตรียมแผนการเผชิญเหตุ แผนอพยพ และแผนการฟื้นฟูภายหลังการเกิดเหตุ ให้ครอบคลุม รวดเร็วทั้งระบบ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อฟังคำสั่ง คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การบริหารจัดการภัยธรรมชาติในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกคนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม ขอให้ทุกคนปลอดภัยทุกคน

สุดท้ายนี้ เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระสังฆราชฯ ณ วัดราชบพิธ เนื่องในโอกาสเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งท่านประทานหนังสือ "ดูใจของเรา" เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพี่น้องประชาชนทุกคน จึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้หาอ่าน ศึกษาให้ลึกซึ้ง ทำความเข้าใจ แล้วน้อมนำไปปฏิบัติด้วย

ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว ปลอดภัย ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี สวัสดีปีใหม่อีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงปี 2562 และตลอดไป สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น