xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฏการณ์ไหลออกลดอิทธิพล “แม้ว” การเมืองคืนสู่สมดุล!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา



ครบกำหนดเส้นตายสังกัดพรรค 90 วันกันไปแล้วเมื่อวานนี้ (26 พฤศจิกายน) สำหรับการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 บรรยากาศของแต่ละพรรคการเมืองก็เริ่มนิ่งไม่ค่อยคึกคักเหมือนกับเมื่อสองสามวันก่อน อาจจะมีเคลื่อนไหวบ้างประปราย แต่ระดับ “บิ๊กเนม” ที่เป็นกลุ่มก้อน หรือระดับอดีต ส.ส. ขาใหญ่ถือว่า “จบดีล” ไปก่อนหน้าแล้ว

เชื่อว่า หลายคนที่ได้เห็นบรรยากาศการย้ายเข้าย้ายออกของพวกนักการเมือง จากพรรคนั้นไปพรรคนี้ หรือย้ายจากพรรคนั้นกลับมาอยู่พรรคเดิมภายในชั่วข้ามคืน หรือเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เปลี่ยนแปลงกันสองสามรอบก่อนครบกำหนดเส้นตาย หลายคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญ ทำนองว่า การเมืองไทย “โคตรน้ำเน่า” ไม่เคยก้าวหน้าหรือสร้างความหวังอะไรได้เลย

แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายปีมานี้ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีมานี้ ในช่วงที่การเมืองแบ่งออกมาเป็น “สองฝ่าย” หลักๆ นั่นคือ ฝ่ายที่ “เอาทักษิณ” กับฝ่าย “ไม่เอาทักษิณ”

และหากให้เห็นภาพชัดเจนก็ต้องสรุปแบบรวบยอด ว่า นับตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทย แล้วทำทุกวิถีทางที่เรียกว่าทั้ง “ดูด” ทั้งซื้อ ทั้งเซ้ง ทั้ง “ควบรวม” แบบซื้อเซ้งยกพรรคตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2544 ต่อเนื่องกันมาจนหลังการเลือกตั้ง จนทำให้มีอำนาจคับแผ่นดินจนเหิมเกริม ทำอะไรไม่เคยสนใจใคร คงคิดว่าไม่มีทางจะล้มคว่ำลงได้แล้ว

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง แม้ว่า ทักษิณ ชินวัตร จะถูกรัฐประหาร หรือถูกยุบพรรคจากข้อหาทุจริตไปกี่ครั้ง แต่เขาก็ยังมีอำนาจโดยพฤตินัยอย่างมากมายอยู่ตลอดเวลา มีมวลชน ได้รับความนิยมชมชอบ ได้รับการเทิดทูนอย่างมากมาย เรียกว่า หากมีการเลือกตั้งไม่ว่าครั้งใดก็ตามพรรคที่เขาให้การสนับสนุน และตัวบุคคลที่เขาอุ้มชู หรือมาในแบบที่เหน็บแนมเปรียบเปรยให้ได้ยินว่า แม้จะ “ส่งเสาไฟฟ้า” ลงเลือกตั้งก็ชนะ

และกระทั่งปี 2549 หลังเกิดการรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ได้มี “คนเสื้อแดง” หรือ กลุ่ม นปช. เกิดขึ้นและขยายเติบโตเรื่อยๆ จนปี 2552-2553 ที่มาจนถึงขีดสุด กลายเป็นมวลชนที่ค้ำบัลลังก์อำนาจและบารมีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวนี้ และพยายามตอกย้ำให้เห็นอยู่ทุกวัน ว่า เขานี่แหละ “ผู้นำประชาธิปไตย” และฝ่ายที่สนับสนุนพวกเขาก็เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” เป็นเพราะเขามาจากการเลือกตั้ง และถูกรัฐประหารพ้นไปจากอำนาจรัฐ

อำนาจและบารมีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อีกฝ่ายเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” มีความคงทนมาแบบนี้และไม่ว่าจะถูกดำเนินคดีทุจริตกี่คดีเขาก็อ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง หรือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ดี เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังจากเกิดการยึดอำนาจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ที่อาจเรียกได้ว่าอิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตร ได้เริ่มลดลง อย่างน้อยคดีความจำนวนมากที่เคยถูกดอง หรือล่าช้า ก็เข้าสู่การพิจารณาในศาล มีการแก้กฎหมายให้พิจารณาลับหลังจำเลย มีการจัดตั้งศาลคดีทุจริตสำหรับ นักการเมืองและข้าราชการเป็นการเฉพาะ และที่สำคัญ สำหรับคดีทุจริตไม่มีอายุความ หากจะหนีก็ต้องหนีตลอดชีวิต ซึ่งเวลานี้ ทักษิณ กำลังถูกดำเนินคดีหลายคดี

แต่ปรากฏการณ์ที่ถือว่าเหนือความคาดหมาย ก็คือ การที่สามารถเกิดพรรค “พลังประชารัฐ” ขึ้นมา รวมไปถึงการดูดเอาอดีต ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย เข้ามาได้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงบรรดาแกนนำ นปช. หลายต่อหลายคน ซึ่งคนพวกนี้ถือว่าระดับ “เกรดเอ” หรือเกรดบีทั้งสิ้น ความเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ทั้ง “การดูด” และ “คนที่ถูกดูด”

แม้ว่าในกรณีดังกล่าวจะมีรายละเอียดมากมาย และที่ผ่านมา ก็เคยมีการอธิบายชี้ให้เห็นภาพไปบ้างแล้ว แต่หากจะให้โฟกัสกันเฉพาะประเด็นการย้ายพรรคของอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย และการย้ายข้างของพวกแกนนำคนเสื้อแดงข้ามมาอีกฟากหนึ่ง ที่ถือว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามชัดเจน เชื่อว่า หลายคนก็คงคาดไม่ถึง และก็ต้องคงคิดกันไปไกลว่าเบื้องหลังของดีลแบบนี้มันย่อมต้องมี “ข้อเสนอ” ที่คุ้มค่า แน่นอน ขณะเดียวกันมันก็อธิบายให้เห็นภาพด้วยตัวเองแล้วว่า มันเกิดการเปลี่ยนแปลงกันในเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร กันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

การที่ระดับอดีต ส.ส. เกรดเอ หรืออดีตนักการเมืองที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย แล้วย้ายข้ามฟากมาแบบนี้ ถือว่าเหลือเชื่อ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ นั่นก็หมายความว่า “ความสมดุลทางการเมือง” เริ่มกลับมาอีกครั้งแล้ว เพราะอย่างน้อยภาพที่เห็นในการเลือกตั้งคราวนี้จะเกิด “ความเจือจาง” ในเรื่องของการแบ่งสี แบ่งขั้ว จะต้องลดลงไปมาก หรืออาจจะไม่มีการพูดถึงเลยก็ได้ แต่จะกลายเป็นว่าจะมีการสาวไส้ด่าทอกันเองในหมู่คนเสื้อแดง หรือพวกแกนนำ นปช. ที่ต้องกลายเป็นคนละพวกไปแล้ว เพราะต้องแข่งขันช่วงชิงพื้นที่

ดังนั้น แม้ว่าหลายคนจะมองว่าการเมืองที่เห็นในเวลานี้จะเป็นไปในลักษณะน้ำเน่า ด้อยพัฒนา แต่อีกด้านหนึ่งมันก็จะได้เห็นมุมที่น่าสนใจควบคู่กันมาเหมือนกัน นั่นคือ การเมืองไทยที่เริ่มคืนกลับสู่ความสมดุลมากขึ้น ไม่ใช่เป็นแบบที่ให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้คุมเกมชี้นิ้วสั่งการได้อยู่คนเดียว!!


กำลังโหลดความคิดเห็น