xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันทำเพื่อไทย “เลือดไหล” จนซีด!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา




จะด้วยคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น หรือว่านี่คือ “แผนการเพื่อเอาตัวรอด” ก็ตามทีสำหรับวิธีการ “แตกพรรค” เพื่อหวังจะรักษาคะแนนเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด และตามมาด้วยการแยกออกไปตั้งพรรคใหม่จำนวนมากในสารพัดชื่อ ซึ่งนอกเหนือจากพรรคหลักอย่างพรรคเพื่อไทย แล้ว ก็มีพรรคสำรอง รวมไปถึงพรรคบริวาร พรรคแนวร่วมจำนวนมากจนจำชื่อกันไม่หวาดไม่ไหว

อย่างไรก็ดี นาทีนี้เมื่อพิจารณาจากขบวนการ “ไหลบ่า” ที่แห่แหนกันเข้ามาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพรรค “ไทยรักษาชาติ” ที่ใช้อักษรย่อว่า “ทษช” มีความคึกคักจนต้องแปลกใจ จนเกิดคำถามว่านี่มัน “บริษัทลูก” หรือว่า “บริษัทแม่” กันแน่ เพราะพิจารณาด้วยสายตาที่เห็นบรรยากาศคึกคักยิ่งกว่าพรรคหลักจนเทียบกันไม่ได้

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสีสันเมื่อได้เห็นบรรดาอดีต ส.ส. ที่แม้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบบัญชีรายชื่อ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพวก “บิ๊กเนม” ระดับชื่อชั้นถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว หรือไม่ก็พวกบรรดาแกนนำ นปช. ที่เกือบทั้งหมดต่างจำเป็นต้องเดินออกมาอยู่พรรคไทยรักษาชาติ ก็ล้วนมีเหตุผลเดียวกัน เพราะในพรรคเพื่อไทยไม่มีที่ยืน โดยเฉพาะหากต้องการ “ไปต่อ” ในแบบ ส.ส.ระบบเขต เพราะคงไม่อาจเบียดแทรกเจ้าของพื้นที่เดิมที่มีอยู่เดิม

ขณะเดียวกัน ด้วยระบบการเลือกตั้งแบบใหม่กติกาใหม่ ทำให้ไม่อาจเสี่ยงที่จะรักษาเก้าอี้ ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อแบบเดิมได้ เพราะด้วยระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ที่เรียกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่มีการออกแบบให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งในบัตรแค่ใบเดียว และทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเน้นได้เฉพาะ ส.ส.เขต เป็นหลัก ส่วนคะแนนในบางเขตที่แม้จะแพ้แต่ก็จะไม่ตกหล่นสูญหายถูกนำมานับรวมกันทั่วประเทศ เพื่อนำมาหารหาค่าเฉลี่ยที่คาดว่าต้องมีคะแนนประมาณ เจ็ดหมื่นต่อ ส.ส. จำนวนหนึ่งคน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขของกติกาใหม่ที่ออกมาแบบนี้ทำให้ต้องมีการ “แตกพรรค” ออกมาดังกล่าว นั่นคือ พรรคเพื่อไทยจะเน้นไปที่ ส.ส.เขตทั่วประเทศ และสำหรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็คงต้องสงวนเอาไว้สำหรับพวก “ขาใหญ่” ในพรรคจริงๆ เช่น หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรครวมไปถึงประธานยุทธศาสตร์ เช่น คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นต้น ที่ไล่เรียงกันแล้วหากต้องการแบบชัวร์ก็ต้องไม่ให้เกิน 10 ลำดับ

ขณะที่พรรคไทยรักษาชาติ แน่นอนว่า นาทีนี้นอกเหนือจากการรองรับการ “ผ่องถ่าย” คนที่ล้นมาจากพรรคเพื่อไทยแล้ว เวลานี้กลายเป็นพรรคสำรองที่เป็นพรรคหลักของเครือข่ายทักษิณไปแล้ว เพราะแม้ว่าจากเดิมที่มองกันว่าเป็นที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเก็บตกคะแนนจากทุกเขตเลือกตั้งที่แพ้ในแต่ละเขตทั่วประเทศเพื่อนำมารวมกันเพื่อหารคะแนนที่คาดว่าจะได้ ส.ส. จำนวนมาก

นั่นเป็นการมองในมุมของยุทธศาสตร์การแตกพรรค นั่นคือ ให้พรรคเพื่อไทยเน้น ส.ส.ระบบเขตที่เคยครอบครองมาแล้วในอดีต ขณะที่พรรคไทยรักษาชาติจะเน้นเก็บตกคะแนนที่แพ้ในแต่ละเขตเพื่อมาคำนวณคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ
 
แต่น่าสนใจก็คือ น่าติดตามว่าในแต่ละเขตของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคไทยรักษาชาติจะต้องถูกจับจ้องว่าจะมีใครที่ “อาสาลงไปเป็นผู้แพ้” เพื่อให้ได้คะแนนที่ “ให้แพ้น้อยที่สุด” เพื่อจะนำไปรวมทั่วประเทศให้มากที่สุด ซึ่งพวกผู้สมัครแบบนี้แหละน่าสนใจ เพราะมองอีกมุมเหมือนกับอาสาสมัครเพื่อให้แพ้ ขณะเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วมันก็จะยอมกันได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน เมื่อโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ก็ต้องยอมรับว่า “บรรยากาศหงอยเหงา” หลังจากที่ระดับแกนนำสำคัญมากมายหลายคนทยอยออกมา สมัครเข้าพรรคไทยรักษาชาติ แม้ว่าจะอยู่ใน “เครือบริษัทเดียวกัน” แต่ก็ถือว่าเป็นลักษณะ “เลือดไหลวนอยู่อ่าง” นั่นคือ ไหลจากตรงนั้นมาตรงนี้ มันไม่ใช่ลักษณะไหลเข้าไหลออกจากข้างนอกหรือข้างในไหลออกมาข้างนอกเหมือนกับพรรคอื่น แต่ถึงอย่างไรสำหรับพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้ “เลือดไหลออกจนซีด” แล้ว

ขณะเดียวกัน ในความเคลื่อนไหวดังกล่าวมันก็ได้เห็นความขัดแย้ง และ “การเอาตัวรอด” อย่างเห็นได้ชัดภายในพรรคเพื่อไทย ต่อเนื่องไปจนถึงพรรคอื่นนอกเหนือจากนี้ อย่างเช่น พรรคเพื่อธรรม ของสมชาย กับเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่คิดว่าน่าจะคึกคัก แต่ถึงตอนนี้เงียบเชียบไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาเลย นี่ยังไม่นับพวกพรรคพันธมิตร อย่าง พรรคเพื่อชาติ ของ จตุพร พรหมพันธุ์ กับ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่คงต้องเน้นเก็บตกเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น

หากให้สรุปกันอีกทีนาทีนี้ต้องบอกว่าพรรคเพื่อไทยเลือดไหลจนซีด และอาจจะเหนือการควบคุมแล้วก็ได้ ทำให้บรรยากาศเงียบเหงากว่าที่คิด ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งก็ต้องไม่ลืมว่ายังมี “อดีต ส.ส.เขต” ของพรรคเพื่อไทยจำนวนมากที่ไหลออกไปอยู่พรรคอื่น ซึ่งคนพวกนี้ก็มั่นใจว่าตัวเองเป็น “ดาวฤกษ์” ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนอื่นมากนัก และที่สำคัญ ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในภาคอีสานและภาคเหนือที่เคยเป็นฐานหลักเสียด้วย 
    
     ถึงได้บอกว่างานนี้พรรคเพื่อไทยนี่แหละจะต้องเจองานหนักที่สุด เพราะจะต้องรักษาพื้นที่ ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด หากคิดจะสกัด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ไม่ให้ไปต่อ แต่เท่าที่เห็นในเวลานี้หากเลือดไหลวนอยู่ในอ่างในพวกเดียวกันเองแล้ว มันก็ต้องรอลุ้นว่าแผนแตกแบงก์พันที่ว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ หรือว่าจะกลายเป็น “เบี้ยหัวแตก” ใช้ประโยชน์ไม่ได้หรือเปล่า!!


กำลังโหลดความคิดเห็น