กก.บห.ปชป. ผ่านข้อบังคับให้สมาชิกหยั่งเสียงเลือก หน. ประชุมใหญ่ 26 ก.ย. คาดได้ หน.ใหม่ พ.ย. “อภิสิทธิ์” อัดคำสั่งคลายล็อกแค่ให้ทำธุรการ ยังปิดกั้นกิจกรรม สะท้อนคนออกคำสั่งไม่เข้าใจบริบทการเมือง ชี้ ยิ่งห้ามแสดงความเห็นยิ่งเข้าทางคนโกง
วันนี้ (17 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคนัดแรก หลัง คสช.คลายล็อก ว่า ที่ประชุมได้สรุปการดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมือง และคำสั่ง คสช.ทีได้รับการแก้ไข เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายใหม่และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของพรรคที่ทำไปแล้วคือมีสมชิกครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดเป็นเวลาสี่ปี คือ ห้าร้อยคนภายใน 180 วัน หาพันคนภายในหนึ่งปี และหนึ่งหมื่นคนภายในสี่ปี พรรคทำได้หมดแล้วภายในเดือนเมษายน และการจัดให้มีทุนประเดิมหนึ่งล้านบาทก็ดำเนินการแล้ว ที่ค้างอยู่ คือ การแก้ไขข้อบังคับพรรค นำเอาอุดมการณ์ นโยบาย และให้บทบัญญัติสอดคล้องกับกฎหมายใหม่ รวมถึงการจัดตั้งสาขาพรรค การเลือกตั้งหัวหน้าและตำแหน่งต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การแก้ข้อบังคับพรรคที่เป็นอำนาจของที่ประชุมใหญ่ จึงจะทำหนังสือแจ้ง กกต.ในวันนี้ว่าจะจัดการประชุมใหญ่ในวันพุธที่ 26 กันยายนนี้ เพราะต้องมีเวลาแจ้ง กกต.ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าห้าวัน อีกทั้งตามข้อบังคับเดิมจะต้องแจ้งล่วงหน้า 7 วัน จึงกำหนดวันที่ 26 กันยายน เป็นวันประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค และหวังว่า ระเบียบของ กกต.จะเอื้อให้รับสมาชิกใหม่ได้สะดวก นำไปสู่การจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคในหลายพื้นที่ ส่วนอุดมการณ์จะปรากฏในข้อบังคับพรรค แต่สิ่งที่ยังไม่ทำ คือ การเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค เพราะจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการหยั่งเสียงจึงต้องออกระเบียบโดยกรรมการบริหารต่อไป ทั้งนี้ ยังตั้งเป้าว่าน่าจะได้หัวหน้าพรรคภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
สำหรับข้อบังคับพรรคเกี่ยวกับการยั่งเสียงหัวหน้าพรรคนั้น กำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ต้องคำนึงถึงผลการหยั่งเสียงด้วย และยกร่างกว้างๆ ว่า ผู้สมัครหัวหน้าพรรคจะต้องมี อดีต ส.ส.รับรอง 20 คน สมาชิกรับรองภาคละ 500 คน รวม 2,000 คน ดังนั้น บุคคลตามข่าวที่ระบุ่าจะลงแข่งขันหัวหน้าพรรคไม่น่ามีปัญหาในการมีชื่อรับรอง ส่วนคนนอกที่เพิ่งเป็นสมาชิกไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรมาก่อนใช้ ส.ส.รับรอง 40 คน หรือสมาชิกรับรองภาคละ 1,000 คน รวม 4,000 คน ทั้งนี้ ที่ตนเสนอให้มีการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคทั้งๆ ที่ไม่มีกฎหมายบังคับ เป็นเพราะต้องการพัฒนาความเป็นสถาบันการเมือง ซึ่งวิวัฒนาการทั่วโลกพรรคต้องทำด้วยตัวเองไม่ต้องรอให้กฎหมายบังคับ ถือเป็นการสร้างจารีตทางการเมืองให้สมาชิกมาชี้อนาคตของพรรค เพราะเราเชื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้คนมองเห็นคุณค่าของกระบวนการประชุาธิปไตย และเชื่อว่า ที่ประชุมใหญ่จะเคารพเสียงของสมาชิก ส่วนผู้สมัคร ส.ส.จะทำไพรมารีโหวตหรือไม่นั้น ขอดูกรอบเวลาก่อน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงคำสั่ง คสช.ที่ 13/61 ว่า ไม่ใช่การคลายล็อกการเมืองเพื่อให้ทำกิจกรรมจริงแต่เป็นเพียงการเปิดให้ทำงานธุรการมากกว่าเป็นคำสั่งที่จะให้มีงานการเมืองจริงๆ ซึ่งจะมีปัญหาในหลายเรื่อง เช่น เรื่องการหาเสียงเพราะจะมีการตีความที่แตกต่างออกไป รวมถึงมีปัญหาในการทำงาน เช่น การหาสมาชิก เพราะโดยธรรมชาติการเมือง ต้องทำกิจกรรมจึงจะหาสมาชิกได้อย่างทั่วถึง ให้ทำงานธุรการ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าไม่เข้าใจงานการเมืองเพราะการบริหารธุรการแยกจากการทำกิจกรรมการเมืองไม่ได้ และยังมีทัศนคติว่าพรรคการเมืองมีไว้เพื่อหาเสียงทั้งที่ต้องรับฟังปัญหาประชาชนอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่รวมตัวมีอำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้ง จึงน่าเสียดายที่ตั้งเป้าปฏิรูปการเมืองแต่กลับตอกย้ำค่านิยมผิดแบบนี้ จึงไม่อยากให้ผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องมองข้อจำกัดเกี่ยวกับกิจกรรมการเมืองว่าเป็นการจำกัดพรรคการเมืองเท่านั้น แต่อยากให้มองว่าเป็นการจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากกว่า เพราะถ้าอยากให้การเลือกตั้งมีกิจกรรมน้อยที่สุดคนได้ประโยชน์ คือ คนซื้อเสียงหรือได้คะแนนเสียงโดยมิชอบ คนได้คะแนนบริสุทธิ์ต้องทำการเมืองโน้มน้าวความคิดประชาชน ยิ่งจำกัดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก็ยิ่งช่วยพรรคการเมืองที่ไม่คิดจะได้คะแนนเสียงด้วยวิธีที่บริสุทธิ์ จึงอยากให้ คสช.และผู้ที่เกี่ยวข้องมองในมุมนี้ด้วย