xs
xsm
sm
md
lg

“สุเทพ” เผยคดีสร้างโรงพัก ชัดเจนขึ้นหลังพบ ป.ป.ช.ฉะคน พท.-ขรก.DSI รวมหัวโจมตี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สุเทพ  เทือกสุบรรณ  ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (แฟ้มภาพ)
“เทพเทือก” ไลฟ์สด แจง ประชาชน หลังเข้าชี้แจง กก.ป.ป.ช.ชุดใหญ่ หลายประเด็นคดีสร้างโรงพัก มีความชัดเจนขึ้น บอก “คน-พรรคเพื่อไทย สมคบ ขรก.ดีเอสไอบางคน” จ้องโจมตีหวังผลทางการเมือง

วันนี้ (21 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่อาคารทูแปซิฟิค สุขุมวิท นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไลฟ์สดแจงประชาชน หลังเข้าพบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ทั้งคณะ นานร่วม 2 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ตนได้เดินทางไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณีการสร้างอาคารสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศ ประเด็นสำคัญคือ เรื่องที่คณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ตั้งข้อกล่าวหา ผมว่า ผมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไปเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างการก่อสร้างโครงการสถานีตำรวจ 396 แห่ง จากเดิมที่อนุมัติให้ สตช.ใช้วิธีจัดจ้างโดยแบ่งงานเป็น 9 สัญญา 9 ภาคแล้วมาเปลี่ยนเป็นสัญญาเดียวทั่ง 396 แห่ง ฟังข้อกล่าวหาแล้วชวนให้คนเข้าใจ สงสัยเอาได้ว่า น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล และเมื่อไม่พูดในรายละเอียดแล้วก็จะคลางแคลงใจ

นายสุเทพ กล่าวว่า เมื่อวาน (20 ส.ค.) ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ครั้งแรกผมได้อนุมัติตามที่ สตช.โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้นเสนอ ว่า เขาได้ไปตั้งคณะกรรมการ พิจารณาทางเลือก 4 ทาง คือ 1.ทำสัญญาโครงการเดียว สัญญาเดียว 2.แบ่งโครงการออกเป็น 9 โครงการ ทำสัญญาจ้าง 9 สัญญา 3.ให้กองบัญชาการตำรวจภาคไปจ้าง 4.ให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นผู้จ้าง และคณะกรรมการของ สตช. บอกว่าวิธีที่ดีที่สุด น่าจะกระจายงานออกไปให้กับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค โดยแยกทำสัญญาเป็นภาคๆ ภาค 1-9 ผมพิจารณาตามข้อเสนอของ สตช.ในขณะนั้น ดูมีเหตุผล ถ้ากระจายการจ้างออกไปทั้ง 9 ภาค น่าจะทำงานได้สะดวกรวดเร็วเป็นผลดีต่อ สตช. เมื่อ ผบ.ตร.เสนอขอใช้วิธีนั้น ผมก็อนุมัติให้ความเห็นชอบให้ไปดำเนินการโดยการประมูลแยกสัญญาเป็น 9 สัญญา ซึ่งก็อนุมัติไปเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2552 ตรงนี้ผมย้ำกับคณะกรรมการป.ป.ช.ว่า วันที่ 9 มิ.ย. 2552 คือ ในวันที่ผมพิจารณาตัดสินใจตามข้อมูลของ สตช.เห็นว่าข้อมูลอย่างนั้นเหตุผลอย่างนั้นเห็นชอบแล้ว

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท พ้นจากตำแหน่งไป พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เข้ามารับหน้าที่ทำงานในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. ก็ทำเรื่องเสนอมาที่ผมใหม่ บอกว่า วิธีเดิมที่ผมอนุมัติไปนั่นใช้ไม่ได้จะต้องใช้วิธีใหม่ คือ ไม่สามารถแยกสัญญาเป็น 9 สัญญาได้ ต้องรวมเป็นสัญญาเดียวแล้วมีเหตุผล มาชี้แจงผมว่าที่ต้องทำแบบนี้เพราะการตั้งงบประมาณ ปี 2553 ในกฎหมายงบประมาณระบุชัดเจนว่า โครงการนี้ครม.อนุมัติเป็นโครงการเดียว แล้วตั้งงบก้อนเดียวไม่สามารถแยกเป็นโครงการย่อยๆ 9 โครงการได้ ประเด็นอยู่ตรงนี้เท่านั้น ทำได้หรือทำไม่ได้ ผิดหรือไม่ผิดกฎหมายงบประมาณนี่เป็นประเด็นใหญ่ ผมได้เรียนกับกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ที่จริงได้ชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.ชัดเจนแล้ว เอาเอกสารหลักฐานทั้งหลายแสดงชัดเจนแล้ว แต่ว่าอนุกรรมการป.ป.ช.ไม่วินิจฉัยสักที ดองเรื่องไว้ 4 ปี ผมเสียหายไปเยอะ เมื่อวาน (20 ส.ค.) เลยเอาหลักฐานจริงไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ โดยหลักฐานดังกล่าว คือ หนังสืองบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2553 ที่เขียนไว้ในหน้า 194 ของเอกสาร โดยเขียนว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 6,298 ล้านบาท ปี 2552 ตั้งงบประมาณ 331 ล้านบาท ปี 2553 ตั้งงบประมาณ 1,174 ล้านบาท ปี 2554 ตั้งงบประมาณผูกพัน 4,812 ล้านบาท เมื่อตั้งงบประมาณไว้แบบนี้จะไปแตก เป็น 9 สัญญาไม่ได้เพราะจะผิดกฎหมายงบประมาณ

นายสุเทพ กล่าวว่า หากถามว่าตอนที่ผมพิจารณาครั้งแรกทำไมไม่ดูเรื่องนี้ เพราะวันที่ 9 มิ.ย.2552 กฎหมายงบประมาณ ปี 2553 ยังไม่ออก และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2552 หลังจากที่ผมให้ความเห็นชอบไปครั้งแรก พล.ต.อ.ปทีป เขาถึงมาแสดงเหตุผลว่าเมื่อกฎหมายงบประมาณเขียนไว้อย่างนี้ไม่สามารถแยกได้ นี่เป็นวิธีการปฏิบัติราชการตามปกติของหน่วยราชการต่างๆ ผมจึงนำหลักฐานเอกสารนี้ ไปแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ และผมยังได้นำเอกสารอีกชุด คือ เอกสารงบประมาณรายจ่ายปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้ทำสัญญากันแล้ว ได้ผู้รับจ้างแล้ว และตั้งงบประมาณแล้ว เขียนไว้ในทำนองเดียวกัน เหมือนกันเลยว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 6,298 ล้านบาท ปี 2552 ตั้งงบประมาณ331 ล้านบาท ปี 2553 ตั้งงบประมาณ 1,174 ล้านบาท ปี 2554 ตั้งงบประมาณ 2,199 ล้านบาท และ ปี 2555 ผูกพันงบอีก 2,612 ล้านบาท เหมือนกัน ไม่สามารถแยกที่จะได้ งบประมาณทั้งก้อน กฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ ใครจะไปแบ่ง 9 สัญญา 9 โครงการ ผิดกฎหมายงบประมาณ ทำไม่ได้

นายสุเทพ กล่าวตออีกว่า ผมเอาข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงไปรายงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ว่า ถ้าหากจะมีการแยกว่าจ้าง เป็นรายสถานีตำรวจ รายจังหวัด รายภาค กฎหมายงบประมาณต้องไม่เขียนเหมือนปี ‭2553-2554‬ จะต้องเขียนใหม่ ว่า เมื่อเขาเลิกสัญญาเดิมแล้วดำเนินการให้มีการก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรเหล่านั้นใหม่ทาง สตช.จะต้องวิธีการในการเขียนงบประมาณ ดูได้จากข้อเท็จจริง จาก “เอกสารงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2558 อยู่ที่หน้า 134 ที่ผมเอาไปเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดู ที่มีการเขียนไว้เลยว่า อาคารที่ทำการสถานีตำรวจตาลสุม จ.อุบลราชธานี 1 หลัง งบประมาณทั้งสิ้น 18 ล้านบาท ปี 2558 ตั้งงบประมาณไว้ 3,720,000 บาท ปี 2559 ผูกพันงบประมาณ 14,880,000 บาท อาคารที่ทำการสถานีตำรวจนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 1 หลัง งบประมาณ 18.6 ล้านบาท ปี 2558 ตั้งงบประมาณ 3,720,000 บาท ปี 2559 ผูกพันงบประมาณ 14,880,000 บาท และที่เขาเขียนงบประมาณแบบในนี้ในปี 2558 แยกเป็นรายสถานี ไม่รวมเป็นโครงการเดียว อย่างนี้ประมูลแยกเป็นสัญญาๆ ได้ และนี่คือข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในราชการปกติ วิธีการเขียนกฎหมายงบประมาณปกติ เขียนอย่างนี้ จะไปแยกเองก็ไม่ได้ หรือจะไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้แล้ว ก็ต้องประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ว่าจ้างผู้รับเหมาเป็นรายๆ ไป

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้เมื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ คณะกรรมการจึงยอมรับว่าทั้งหมดเป็นความจริง ที่ปฏิบัติกันอยู่ในวงราชการโดยทั่วไป คนที่ทำราชการมาย่อมเข้าใจ ไม่มีข้อสงสัย ผมจึงได้ย้ำกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า เรื่องสำคัญที่จะพิจารณาคือ ว่า กฎหมายงบประมาณเขียนไว้อย่างไร เราต้องปฏิบัติอย่างนั้น วันที่ผมอนุมัติไปครั้งแรก ว่า ให้ใช้วิธีจัดจ้างโดยแบ่งงานออกเป็น 9 งาน ทำสัญญาว่าจ้าง 9 สัญญา ในวันที่ 9 มิ.ย.2552 ซึ่งกฎหมายงบประมาณยังไม่ออก และเมื่อกฎหมายงบประมาณออกมาแล้วก็ต้องทำตามกฎหมายงบประมาณ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนวิธีการจัดจ้าง จาก 9 ภาค 9 สัญญามาเป็นสัญญาดี จึงไม่มีอะไรที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือจะมากล่าวหาว่าผมปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ย่อมเป็นข้อกล่าวหาที่มีอคติ ไม่เป็นธรรม ไม่พิจารณาจากข้อเท็จจริงหรือความจริงที่เกิดขึ้น

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ผมชี้แจงประเด็นนี้พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานต่างๆ เหล่านี้ ต่อคณะกรรมการป.ป.ช. คณะกรรมการชุดใหญ่ก็ยอมรับในประเด็นนี้ แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ทางอนุกรรมการไต่สวนยกมาตั้งเป็นข้อกล่าวหาย่อยๆ อีก 9 ประเด็น ผมก็ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการทีละประเด็น แล้วเอาหลักฐานเอกสารทุกแสดงต่อคณะกรรมการไม่ได้เอกเอกสารอื่นที่เป็นเอกสารของทางราชการเพราะฉะนั้นการชี้แจงของผมเมื่อวันที่ 20 ส.ค. จึงทำได้สมบูรณ์ครบถ้วน และได้กราบเรียนคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ผมเหมือนประชาชนทั้งหลายต้องการเห็นคณะกรรมการฯมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ในบ้านเมืองเราให้ได้ผล

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ผมจึงอดทนมา 4 ปี ป.ป.ช.ออกข่าวมาทำให้ผมเสียหาย ผมก็ยังอดทน เพราะถือว่ายังอยู่ในกระบวนการวินิจฉัย แต่การที่ ป.ป.ช.ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2561 ที่ผ่านมา บอกว่า นายสุเทพ กับพวก 17 คน ถูกกล่าวหาว่าทุจริต อย่างนี้เป็นเรื่องเสียหายมาก ไม่ใช่เสียหายกับผม 3-4 ปีมานี้ผมเสียหายยับเยินแล้ว แต่ที่เสียหายกับงานส่วนรวมของประชาชน เพราะผมกำลังรวมพี่น้องประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาตั้งพรรคการเมืองที่แท้จริงของประชาชนขึ้นในประเทศนี้ เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปให้ประชาชนมีทางเลือก เขาเบื่อนักการเมืองเก่า พรรคการเมืองเก่าๆ เราจะสร้างพรรคการเมืองของประชาชนที่แตกต่างจากของเก่า เป็นพรรคการเมืองของประชาชนที่ประชาชนเป็นเจ้าของจริงๆ ประชาชนควบคุมพรรคการเมืองจริง สร้างนักการเมืองใหม่ให้เป็นทางเลือกของประชาชน กำลังทำกันอยู่อย่างนี้เข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วมาออกข่าวว่า หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นคนทุจริต อย่างนี้ทำให้พรรครวมพลังประชาชาติไทย ของประชาชนที่กำลังสร้างขึ้น ได้รับผลกระทบกระเทือน ผมบอกกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ผมไม่ได้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค ผมไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และถ้าพรรคนี้เป็นรัฐบาล ผมก็ไม่รับตำแหน่งอะไรในรัฐบาล

“ผมไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของผม แต่ทำผมทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงพรรคการเมืองของประชาชนที่ผู้อุดมการณ์ที่เขามีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง ต้องได้รับผลกระทบ ผมจึงต้องนำเรื่องทั้งหมดนี้มาอธิบายต่อสาธารณชน ให้หายสงสัย และ พร้อมว่าถ้าฝ่ายกระบวนการของผู้ที่กล่าวหาผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทย คนของพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ก็ยังไม่หยุด ยังเอามาโจมตีอยู่ตลอดเวลา ไปสมคบกับข้าราชการตำรวจบางคน สมคบกับข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)บางคนทำเป็นเรื่อง เป็นราว หวังผลทางการเมือง พรรครวมพลังประชาชาติไทย ผมได้บอกว่า เราอย่าใช้วิธีนี้ ไม่มีการโจมตีใครโดยพรรคนี้ เป็นสิทธิของเราที่จะป้องกันตัวเอง ผมก็ได้บอกกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ไปว่า ต้องเข้าใจนะว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะไปทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิ องค์กรสำคัญ คือ ป.ป.ช.แต่ย่อมเป็นสิทธิ ที่ผมจะปกป้องส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญของประชาชน ที่ผมมีส่วนร่วมอยู่ คณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ดูเหมือนจะเข้าใจเจตนารมณ์ของผม ว่า ผมมีความเป็นจริงๆ ที่จะต้องออกมาพูดจาทำความเข้าใจกับสาธารณชน ในประเด็นนี้ให้ชัดเจน ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะ ที่ให้เวลามากจนทำให้ชี้แจงได้ครบถ้วนทุกประเด็น และยังมีประเด็นย่อยๆ อีกที่ผมจะชี้แจงกับประชาชนในวันถัดไปอีก” นายสุเทพ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น