xs
xsm
sm
md
lg

เปิด“ข้อหาฉกรรจ์” เหตุ “ลุงตู่”งัดม.44 เด้งเลขาฯ ปปง.ตัดตอน “หนอนบ่อนไส้”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

ต้องมีอะไรในกอไผ่ ไม่เช่นนั้น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงไม่เรียกประชุมด่วน “บิ๊ก คสช.” เพื่อพิจารณา “วาระจร” ที่ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 10 นาที

ก่อนออกคำสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 12/2561 เด้งฟ้าผ่า "พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร" พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นคำสั่งที่ “จำเป็น” ต้องนำอำนาจ “มาตรา 44” มาใช้อีกครั้ง เพื่อโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ทั้งที่หากสังเกตให้ดี ระยะหลัง “บิ๊กตู่” ค่อนข้างระมัดระวังการใช้ “อำนาจพิเศษ” ไม่พร่ำเพรื่อ เหมือนช่วงที่เข้ามาแรกๆ ที่ใช้บ่อยครั้งในการจัดแถวข้าราชการ จัดระเบียบอำนาจ

นอกเหนือความที่เป็นตำแหน่งสำคัญแล้ว ยังมีประเด็นที่ “พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์” หรือ “บิ๊กเปี๊ยก” เพิ่งได้ดำรงตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สิริรวมอยู่ในตำแหน่งแค่ 46 วันถ้วน ทำให้กรณีนี้เป็นที่สนใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ
 
คงจะตีความเป็นอื่นไม่ได้ นอกเสียจาก “เรื่องคอขาดบาดตาย” จน “ท่านผู้นำ” มี “ความจำเป็น” ต้องงัด “อำนาจพิเศษ” ปลดออก

ต้องไม่ลืมว่า ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา “สำนักงาน ปปง.” ถือเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน”ในการปราบปรามขบวนการผิดกฎหมาย ตลอดจนการตรวจสอบการทุจริต คอร์รัปชัน ของ “ขั้วอำนาจ” ที่ทรงประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะเมื่อ “นายกฯประยุทธ์” ใช้อำนาจตาม มาตรา 44 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 แต่งตั้ง “บิ๊กยะ” พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล โอนย้ายจากตำรวจให้มาเป็นเลขาธิการ ป.ป.ง. แทนที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ขยับไปที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ง. ก่อนถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในภายหลัง
 
จากการใช้อำนาจตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทำให้ผลงานของ ปปง.ในยุคของ “ชัยยะ” จึงเป็นที่กล่าวขาน จนกลายเป็น “โบว์แดง” ที่โดดเด่นของรัฐบาล คสช.

นอกเหนือจากผู้นำองค์กรอย่าง “บิ๊กยะ” แล้ว ยังต้องให้เครดิต “บิ๊กเปี๊ยก” ในฐานะมือไม้ที่สำคัญ ที่ถูกดึงตัวมาจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสำนักงาน ข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาช่วยงาน
เป็น รองเลขาธิการ ป.ป.ง. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ด้วย

โดย “บิ๊กเปี๊ยก” โชว์ผลงานอย่างโดดเด่นในหลายคดี มีส่วนสำคัญในขับเคลื่อนนโยบายของ “บิ๊กยะ” ทั้งการตรวจสอบเส้นทางการเงินเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การกวาดล้างขบวนการเงินทอนวัด หรือคดีวัดพระธรรมกาย ที่มีการอายัดทรัพย์ของ "อลิสา อัศวโภคิน" บุตรสาว "อนันต์ อัศวโภคิน" เจ้าสัวแลนด์แอนด์เฮาส์ รวมไปถึงการอายัดทรัพย์ของ "เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร ในคดีเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และร้องทุกข์กล่าวโทษกับ "ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ในคดีฟอกเงินเงินกู้กรุงไทย-กฤษฎามหานคร

เป็นผลให้เมื่อ “พล.ต.อ.ชัยยะ” ถึงคราวเกษียณต้องลุกจากเก้าอี้เลขาธิการ ปปง. และไปเป็นประธานกรรมการ ปปง. แม้จะติดขัดเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง แต่ก็ได้ปูทางให้ “พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์” รับไม้ต่อ โดยให้ทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ ปปง.ไปพลาง ก่อนจะได้รับรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นเลขาธิการ ป.ป.ง. อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะทันทีที่ “บิ๊กเปี๊ยก” เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ “คุณภาพงาน” ของ ปปง. ตกลงอย่างเห็นได้ชัด จนทั้ง “บิ๊กยะ” ในฐานะประธานบอร์ด ปปง.เอง เรื่อยไปจนถึง “บิ๊ก คสช.” เริ่ม “สะกิดใจ” อะไรบางอย่าง

อย่าลืมว่า ปปง. เป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับนายกฯ ความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กเปี๊ยก” จึงถูกรายงานตรงขึ้นโต๊ะทำงานบน “ตึกไทยคู่ฟ้า” ตลอด ในฐานะ “ผู้นำองค์กร” ที่หลีกเลี่ยงข้อหา “เกียร์ว่าง” ไม่พ้น เมื่อมีการข่าวที่น่าเชื่อถือว่า ระยะหลัง ปปง. “ละเว้น” ไม่ตรวจสอบฝ่ายการเมือง หรือพูดให้ชัดคือ “ระบอบทักษิณ” ตามนโยบาย “ตรวจสอบไม่มีละเว้น” ของ คสช.

เพราะในขณะที่คดีดังอย่าง "แก๊งเงินทอนวัด" หรือ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” มีความคืบหน้าเป็นระยะ แต่ “คดีการเมือง” กลับเตะถ่วง ไม่มีผลงานออกมาเหมือนเคย ทั้งยังออกออกอาการ “ทะแม่งๆ” ในคดี “โอ๊ค กรุงไทย” เมื่อจู่ๆ สำนักงาน ปปง. ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ กลับทำหนังสือไปทวงถามหน่วยงานอื่นว่า คดีความผิดหลักสอบเสร็จแล้ว หรือคืบหน้าถึงไหน ประการใด พร้อมขอให้หน่วยงานต่างๆ ส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดในสำนวนคดีกลับคืนมา โดยเน้นว่า ให้ “รับรองสำเนาถูกต้อง” กลับมาด้วย

เป็นที่มาของ “ข้อหาฉกรรจ์” ที่ส่อไปในทาง “หน่อนบ่อนไส้” ด้วยการข่าวแจ้งอีกว่า ภายหลังจากที่ “บิ๊กยะ” พ้นจากเลขาธิการ ปปง.ไป ก็ได้มี “ข้อมูลสำคัญ” เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในเรื่องการตรวจสอบต่างๆ “ในทางลับ” ของ คสช. หลุดรั่วไปถึง “ขั้วตรงข้าม”

ยิ่งเมื่อพลิกดูประวัติของ “บิ๊กเปี๊ยก” ก็โป๊ะเชะ เติบโตมาในไลน์ของ “ตำรวจมะเขือเทศ” มาตลอด โดยเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 37 (นรต.37) ที่หลายคนในรุ่นล้วนแล้วแต่เป็น “สายระบอบทักษิณ” ทั้งนั้น อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ผู้ที่ว่ากันว่าได้รับการสนับสนุนจาก “ยุทธ ตู้เย็น” ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ พ.ต.อ.กานต์ เทียนแก้ว อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน สมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช - สมชาย วงศ์สวัสดิ์”

อีกทั้ง “พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์” ซึ่งเดิมเคยใช้ชื่อ “สาธิต วิสันเทียะ” และ “สาธิต ตชยภพ” และมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ “ยงยุทธ” ก็เป็นหนึ่งใน “ทีมงานวอร์รูม” บนโรงแรมดังย่านทาวน์อินทาวน์ เมื่อสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ต่อสู้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. อีกด้วย หลังอำนาจเปลี่ยนมือ จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร” นัยว่าเพิ่ง “บัง” ร่องรอยในอดีต

นอกเหนือจากรสนิยม “สีเสื้อ” ส่วนตัวแล้ว ยังว่ากันว่าสาเหตุที่ “บิ๊กเปี๊ยก” มา “ออกลาย” ตอนแก่ เพราะดันไป “สวามิภักดิ์” กับ “น้องชายเจ้าปัญหา”ของ “พี่ใหญ่ ในคสช. คนหนึ่ง”

ซึ่ง “น้องชายขาใหญ่” คนนั้น เคยตกเป็น “จำเลย” ร่วมกับ “คีย์แมนขั้วตรงข้าม” แต่หลุดรอดคดีด้วยกัน จึงเป็นที่มาของ “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน”

แล้วก็ยังเป็น”จิ๊กซอว์” ที่มาต่อเติมให้เห็นภาพว่า ตั้งแต่ คสช. เข้ามามีอำนาจ แล้วไฉน “เจ๊จอมเขมือบบางคน” ถึงยังอยู่รอดปลอดภัยมาถึงตอนนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น