xs
xsm
sm
md
lg

ตีตก “ว่าที่ กกต.สีเทา” อีกไม้เด็ดเลื่อนเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

จิ๊กซอว์ ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งเริ่มสมบูรณ์ขึ้นทุกขณะ

เมื่อกฎหมายลูกสำคัญ 2 ฉบับ ทั้ง ร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยที่มาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ผ่านการวินิจฉัยโดย “ศาลรัฐธรรมนูญ” ว่าไม่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาแบบฉลุย

แม้ว่าอาจจะต้องเขยื้อน “โรดแมปเลือกตั้ง” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ป่าวประกาศก้องโลกไว้ว่า ไม่เกินกุมภาพันธ์ 2562 ไปอีกอย่างน้อยๆ 2 เดือน หรือราวเดือนเมษายน 2562 ที่ทดไปตามเวลาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่งอ่าน 2 กฎหมายลูกอยู่ร่วม 2 เดือนก็ตาม

ทว่าในขณะที่อะไรๆ ดูเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่องค์ประกอบสำคัญของการเลือกตั้งอย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดูท่าจะไม่ค่อยสดใส เหมือนปัจจัยด้านอื่นๆ

กล่าวคือ กกต.ชุดปัจจุบันที่ได้ “ทดเวลาบาดเจ็บ” เหลือเพียง 4 จาก 5 คน แม้ว่าหลายฝ่ายรวมทั้ง กกต.เองจะยืนยันว่า กรรมการที่เหลืออยู่สามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างสบายๆ หากแต่ความเป็นจริง ดูเหมือนไม่ง่ายอย่างที่คิด
หนึ่ง คือ อีกไม่นาน กกต.อย่างน้อย 2 ราย ทั้ง ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. และ บุญส่ง น้อยโสภณ กกต. จะมีอายุครบ 70 ปี ซึ่งต้องหมดวาระลงตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญใหม่ และถึงจะมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่ออายุให้อย่างไม่มีกำหนดจนกว่าจะได้ กกต.ใหม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กำหนดอายุ 70 ปีไว้นั้น ก็เพราะมองว่าหากอายุเกินกว่าที่กำหนด ประสิทธิภาพในกำกับดูแลการเลือกตั้ง จะลดน้อยลง

สอง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้เพิ่มจำนวน กกต.เป็น 7 คน ซึ่งกลไกต่างๆเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ก็ล้อมาจากกฎหมายสูงสุด ที่เพื่อให้ กกต.ใช้ศักยภาพ และแบ่งหน้าที่ให้เหมาะสมใน 7 ด้าน เพื่อจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรม ดังนั้นหากถูลู่ถูกังใช้ กกต.ชุดเดิมแค่ 4 คน ก็เท่ากับจงใจละเลยเจตนารมณ์ข้อกฎหมายสูงสุดที่ คสช.ทำคลอดมากับมืออีก

ทั้ง 2 ประการนี้ เชื่อเถอะ หากถึงเวลาจริง ก็จะถูกใช้เป็น “อาวุธลับ” นำออกมาอ้างว่า จำเป็นต้องได้ กกต.ชุดใหม่เสียก่อน จึงจะจัดการเลือกตั้งได้

หันไปดูกระบวนการสรรหา กกต.ชุดใหม่ ที่ได้รายชื่อ “ว่าที่ 7 เสือ กกต.” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กกต. ก่อนส่งให้ สนช. ลงมติให้ความเห็นชอบต่อไป

หากเป็นสมัยก่อน เมื่อผ่านด่านมาถึงรอบไฟนอลแบบนี้ บรรดา “ว่าที่” ทั้งหลาย คงต้องเปิดแชมเปญฉลองกันเป็นลังๆ แล้ว แต่ พ.ศ.นี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เห็นมาแล้วกับชะตากรรมของ “ว่าที่ กกต.ชุดก่อน” ที่ว่ากันว่ามี “เด็กนาย - สายแข็ง” หรือ “ว่าที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ที่เลือกกี่รอบก็ไม่ตรงสเปกซักที รวมไปถึงผู้ได้รับการสรรหาเป็นคณะกรรมการกำกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

ที่ว่าไปนั้น เจอ สนช.ตบคว่ำระเนระนาดมาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะคิวล่าสุดกับ “ว่าที่ กสทช.” ที่มีกระแสข่าวในทำนอง “นายกฯไม่แฮปปี้” เท่านั้นแหละ กฎบัตรกฎหมายที่ให้อำนาจแค่ สนช.ต้องเลือก 7 ใน 14 คน ไม่สามารถตีตกได้ ก็ไร้ความหมายลงทันที สามารถตีความกฎหมายเฉพาะกิจว่า มีอำนาจตีตกได้ เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมที่สุด

จึงบอกได้คำเดียวว่า เส้นทางวิบากของ “ว่าที่ 7 เสือ กกต.” ยังอีกยาวไกล ยิ่งแต่ละรายถูกตราหน้าว่า “โนเนม” ไม่ได้ใกล้เคียงกับ “สเปกเทพ” ที่กำหนดไว้ในกฎหมายเลย

และในขณะที่ไม่สามารถควบคุมกระบวนการที่อยู่ในอาณัติของ “ผู้มีอำนาจ” ได้แล้ว “อดีต” ของ “ว่าที่ 7 เสือ กกต.” ก็ไม่ใสปิ๊งซะทีเดียว

ตามคิวที่ คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กกต. ได้ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแจ้งข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือขอคิดเห็นที่เกี่ยวกับประวัติและพฤติการณ์ของ “ว่าที่ กกต.” ซึ่งเพิ่งปิดกล่องไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมานี่เอง

ว่ากันว่ามีการแจ้ง “ข้อมูลเชิงลบ” ของ 5 ใน 7 ว่าที่ เสือ กกต. เข้ามาอย่างล้นหลามโดยเฉพาะในส่วนของผู้ที่ได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา 5 ราย ที่ถูกเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจทางการเมือง อันได้แก่ สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, อิทธิพร บุญประคอง อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และอดีตเอกอัครราชทูตกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์, พีรศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด และอดีตอธิบดีกรมที่ดิน และ ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ล้วนแล้วแต่มีภาพลักษณ์ออกไปในทาง "ขมุกขมัว"

ส่วนอีก 2 รายที่ได้รับการคัดเลือกจาก “ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา” คือ ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และ ปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา เหมือนละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเป็น “ตัวแทนตุลาการ” เรื่องร้องเรียนก็เลยมีไม่เยอะเท่าเพื่อน

ไล่เรียงกันพอสังเขป ปรากฏว่า “ธวัชชัย" อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี มีชนักทางคดีความ ที่ถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดสระบุรี อยู่มากกว่า 10 คดี แม้จะเจ้าตัวจะปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้ตัว หรือไปขึ้นศาลมาก่อนก็ตาม

รายที่โดนถล่มหนักสุด น่าจะเป็น สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร มีทั้งคดีในชั้น ป.ป.ช. ที่โดนฟ้องในกรณีใช้อำนาจในฐานะอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ถอดถอนนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ออกจากประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยมิชอบ และยังเป็น 1 ใน 3 จำเลย ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทุจริตฐานฉ้อโกงประชาชน ที่เกิดจากการทุจริตในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อีกด้วย

ที่ดูจะเงียบๆ คงเป็นรายของ สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่ว่ากันว่ามาในโควต้า “ภาคประชาสังคม” ในฐานะนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ผู้เชี่ยวชาญการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA-EHIA) ลำดับต้นๆ ของประเทศ

โครงการสำคัญๆทั่วประเทศ ผ่านการประทับตรารับรองโดย “สันทัด” มาแล้วทั้งสิ้น รวมไปถึงหลายโครงการใน “นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด” จ.ระยอง ที่มีการร้องเรียนปัญหาสิ่งแวดล้อม ตลอดจน “ความเป็นจริง” ที่หลายร้อยครัวเรือน ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้ หลังโครงการนี้เกิดขึ้น ด้วยมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
นอกเหนือจากอยู่ในขาของผู้มีส่วนร่วมในการริเริ่มดำเนินโครงการในมาบตาพุด ที่ก่อมลพิษ สร้างปัญหาให้กับประชาชนผู้อยู่อาศัยแล้ว ยัง “ย้อนแย้ง” สุดๆ เมื่อ “สันทัด” ได้เข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการอิสระด้านสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปแก้ไขปัญหาในนิคมมาบตาพุด

นอกจากนี้ ก็ยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “อ.สันทัด” ยังมี “พฤติกรรมไม่เหมาะสม” ที่สถาบันที่ทำการสอน รวมทั้งมีการแอบอ้างในทำนองว่า มีความใกล้ชิดระดับ “สายตรง” ของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ที่เป็นหนึ่งในกรรมการสรรหา กกต. อีกด้วย

เอาเข้าจริง ไม่ต้องอะไรมาก “ว่าที่ 7 เสือ กกต.” ชุดนี้ เจอแค่ข้อหา “ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเลือกตั้ง” อย่างที่ “ว่าที่ กกต.รุ่นพี่” เจอมาแล้ว ก็จะทำให้ “รถผ้าป่าไปไม่ถึงวัด” เอาง่ายๆ

เชื่อแน่ว่า การประทับตรารับรอง กกต.ชุดใหม่งวดนี้ คงยากที่จะ “ผ่านฉลุย” ทั้งหมด แต่ครั้นจะเททิ้งยกชุดซ้ำรอย 7 ว่าที่ กกต.ชุดก่อน “ผู้มีอำนาจ” ก็คงกลัวเสียมากกว่าได้

ทางเลือกจึงบีบให้เหลือเพียงการ “ตีตกเฉพาะราย” มากกว่า โดยเฉพาะ “ว่าที่ กกต.สีเทา” ที่ประวัติเกินจะรับได้ แล้วยังไร้ประสบการณ์กำกับการเลือกตั้งเสียอีก

หมาก “สอยบางราย” ก็เลยเปิดกว้างไว้เป็น “ไม้เด็ด” ในการเลื่อนเลือกตั้งอีกซักกระทอก เพราะปัจจัยสำคัญว่าจะได้ กกต.ใหม่เร็ว หรือช้า มันอยู่ที่ความพร้อมของ “ผู้มีอำนาจ” ในการลงสนามเลือกตั้ง สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด.


กำลังโหลดความคิดเห็น