เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องถือว่า “รอด” มาได้อย่างหวุดหวิด สำหรับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หลังจาก “โดนหนักๆ” มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่อง “นาฬิกาหรู” ของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ทำเอาเอนไปเอียงมาเหมือนกัน ยังดีที่มีเรื่อง “ล่าสัตว์ป่า” ของ “เจ้าสัว” เปรมชัย กรรณสูต ซีอีโอของบริษัท อิตาเลี่ยนไทย มาเบรกเกม ถัดมาก็มาเจอเรื่อง “ป้าทุบรถ” ที่ตลาดนัดเสรีวิลล่า หรือแม้แต่เรื่อง “หวย 30 ล้าน” ที่ทำให้ระดับชาวบ้านสนใจจดจ่อมาต่อเนื่องนานนับเดือน ก็สามาถเบี่ยงเบนความสนใจไปได้พักใหญ่
ล่าสุด ก็มีเรื่องที่ทำให้ “คนไทยมีความสุข” จากการที่ “เจ้าแหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สามารถเอาชนะผู้ท้าชิงชาวแม็กซิโกอย่าง ฮวน ฟรานซิสโก เอสตราดา ไปได้ และป้องกันแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของสภามวยโลก (WBC) เอาไว้ได้อีกครั้ง และก็ไม่พลาดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะฉับไวมอบหมายให้ โฆษกรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาสื่อสารทางสื่อโซเชียลฯแสดงความยินดีแบบฉับไว
ทั้งสามเรื่องหลักๆล้วนเบี่ยงเบนภาวะสุ่มเสี่ยงจากภาวะขาลงให้ “ลงเร็ว” ไปได้จนสามารถกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง หรือแม้แต่เรื่อง “ม็อบเด็กๆ” ที่พยายามสร้างกระแส “อยากเลือกตั้ง” พร้อมกับยั่วยุให้สลายการชุมนุมก็ยัง “จุดไม่ติด” เพราะทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้วิธีเลี่ยงเผชิญหน้า แต่ใช้วิธีการทางกฎหมายดำเนินคดีกันตามหลัง ใช้กฎหมายเป็น “ชนักปักหลัง” ไม่ให้ขยับการโดยสะดวก ประกอบกับบรรดานักเคลื่อนไหวที่ออกมาล้วน “หน้าเดิม” และถูกมองว่าเชื่อมโยงกับพวกเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร มันถึงทำให้ “ฝ่อ” ลงไป
ดังนั้น เมื่อสามารถดึงสถานการณ์ให้พลิกกลับมาควบคุมได้อีกครั้ง อีกทางหนึ่งมันก็ทำให้มีเวลาได้หายใจหายคอได้ทั่วท้องอีกครั้ง อย่างน้อยก็ทำให้สามารถขับเคลื่อนงานตามเป้าหมายสำคัญที่วางเอาไว้สำหรับภารกิจโค้งสุดท้ายที่ต้องการเห็นผลอย่างเร่งด่วน นั่นคือ การขับเคลื่อน"เศรษฐกิจฐานราก"ที่เดินหน้ากันเต็มกำลังกันตั้งแต่ต้นปี เพราะเมื่อใดก็ตามหากทำให้คนจนรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าของพวกเขาเพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถซื้อใจได้ระยะยาว
ที่ผ่านมา มีการเดินเครื่องโครงการประชารัฐ บัตรสวัสดิการคนจนจนนำมาสู่การต่อยอดตามมาทั้งการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพ และการเดินทางตามเกณฑ์รายได้ประจำเดือน เรียกว่าช่วยเหลือแบบเจาะเข้าถึงตัวไม่ใช่ “หว่านแห” นอกเหนือจากนี้เนื่องจากมีบัญชีผู้มีรายได้น้อยในมือไว้แล้วว่ามีกี่คน อยู่ในหมู่บ้านตำบลไหน ก็สามารถต่อยอดส่งเจ้สหน้าที่เดินไปเคาะประตูบ้านสอบถามถึงความต้องการว่าอยากให้ช่วยเรื่องไหน มีการอบรมอาชีพ ให้ความรู้กันแบบต่อเนื่องก็ถือว่าน่าสนใจ
แม้ว่าโครงการแก้จนด้งกล่าวจะเลียนแบบมาจากโครงการแก้จนของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ที่ทำได้ผลมาแล้ว สามารถทำให้คนจีนพ้นจากความยากจนลงได้หลายสิบล้านคนแล้วในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เช่นเดียวกันเขาหมายมั่นปั้นมือมากว่าด้วยการจัดการแก้ปัญหาคนจนที่เริ่ม “คิกออฟ” กันไปแล้วทั่วประเทศเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดทีมปูพรมทั่วประเทศพร้อมกันถึกว่า 7 พันทีม บุกเข้าถึงตัวคนจนตามรายชื่อที่ปรากฏตามที่มีการลงทะเบียนกันเอาไว้ มีการส่งเสริมอาชีพ ให้ความรู้ การให้คำปรึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ มีการติดตามผล มีการให้คำปรึกษาเรื่องการให้ทุนเพื่อประกอบอาชีพ ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย
แต่ละทีมที่ลงไปมีทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ธนาคาร เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า “จัดเต็ม” กันเลยทีเดียว
ที่สำคัญงานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการกำชับกันล่วงหน้าว่า “ห้ามโกงเด็ดขาด” เป็นการดักคอกันก่อน เพื่อป้องกันเรื่องอื้อฉาวตามมาเหมือนกับทุกครั้งที่พอให้บรรดาข้าราชการถืองบก็เป็นอันเชื่อขนมกินล่วงหน้าได้เลยว่าต้องมีรายการเบิกจ่ายงบเกินจริง มีการทุจริต จนทำให้ความสนใจเบี่ยงเบนไปอีกทาง และที่สำคัญการส่งเสียงเตือนเข้มแบบนี้เพื่อป้องกันความหายนะที่จะตามมา เพราะหากลองหลับตากันล่วงหน้าว่าหากมีการทุจริตเกิดขึ้น สักแห่งสองแห่งมันก็จบเห่แล้ว เพราะมันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายกำลังจะเข้าเส้นชัย หากพลาดนี่คือการสะดุดขาตัวเองล้มลงทันที
ในทางตรงกันข้ามหากได้ผล สร้างความประทับใจให้กับคนจนทั่วประเทศมันก็ย่อมหมายความว่านี่คือการ “ชักนำคนจนออกมา” จากความฝังใจของ พวก ทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง “ทีมไทยนิยม” ที่ส่งลงไปทั่วประเทศ แน่นอนว่าย่อมต้องแฝงการเมืองลงไปไม่ว่าทั้งทางตรงทางอ้อมอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อมาผนวกการมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ที่กำลังเดินหน้าเต็มกำลังทั้งเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ มาตรการในการแก้ปัญหาราคาสินค้าการเกษตร ที่หากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายไม่ผิดพลาด มันก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจพลิกกลับมามีลุ้นอีกครั้ง อย่างน้อยก็สามารถแข่งขัน “ลูกน้อง” ทักษิณ ชินวัตร ได้เหมือนกัน!!