xs
xsm
sm
md
lg

“นาฬิกาพี่ใหญ่” เสี่ยงทำกองหนุนเหี้ยน “ประยุทธ์” จบเกม!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา


ต้องบอกว่ากระแสแรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ “ปมนาฬิกาหรู” ของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีการแฉ ภาพการครอบครองออกมาให้เห็นเรือนแล้วเรือนเล่า แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะใช้วิธี “นิ่งเงียบ” แบบใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อมีการเปิดโปงออกมาให้สังคมได้เห็นเรื่อยๆ จนมาถึงวันที่ 15 มกราคม ก็มีเพิ่มเป็นเรือนที่ 25 แล้ว โดยระบุว่านาฬิกาเรือนนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท

น่าสนใจตรงที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 มกราคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาชี้แจงเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบไปนาน โดยยืนยันว่า “เป็นนาฬิกาเพื่อนที่วนกันใส่” และได้ส่งคืนไปหมดแล้ว พร้อมทั้งยืนยันในทำนองว่าไม่ได้สะสมนาฬิกา หรือมีนาฬิกาจำนวนมากแบบนั้น และอ้างว่าที่เห็นหลายเรือนนั้นเป็นเพราะสื่อสับสนมีการลงรูปซ้ำไปมา

คำพูดของ “พี่ใหญ่” ดังกล่าวทำให้มีเรื่องต้องพิจารณากันต่ออย่างน้อยสองสามประเด็น อย่างแรกเป็นการยืนยันครั้งแรกว่านาฬิกาหรูๆ ที่เห็นนั้น “เป็นของเพื่อนที่ให้ยืมใส่” ซึ่งที่ผ่านมาประเด็นนาฬิกาเพื่อนนั้นเป็นเหมือนกับการ “โยนหิน” หรือหยั่งกระแสออกมาจาก “พวกสื่อกันเอง ”บางพวก แต่เมื่อเกิดกระแสทางลบกลับมาทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องใช้วิธีนิ่งเงียบ โดยเชื่อว่านานไปกระแสก็ลดลงจนเงียบไปเอง หรือไม่ก็อาจมีเรื่องใหม่มากลบไปเอง

อย่างไรก็ดี ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้เมื่อมีการแฉภาพนาฬิกาเรือนหรูออกมาให้เห็นเป็นรายวันเรือนแล้วเรือนเล่า จนล่าสุด (วันที่ 17 มกราคม) มีเรือนที่ 25 โผล่ออกมา ทำให้ไม่รู้ว่าจะมีเรือนที่ 26 ไปจนถึงเรือนที่ 100 ตามที่มีเสียงซุบซิบนินนากันว่า “พี่ใหญ่” คนนี้สะสมนาฬิการาคาเอาไว้เป็นคอลเลกชันนับร้อยเรือนนั้นก็เป็นความจริง จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขานั่งไม่ติด-ต้องออกมาปฏิเสธ และที่สำคัญก็คือ นาฬิกาทั้งหมดล้วนเป็น “ของเพื่อน” ให้ยืมใส่ และได้ส่งคืนไปหมดแล้ว

ประเด็นหลังนี่แหละสำคัญ เพราะหากพิจารณาจากเจตนาที่แท้จริงมันทำให้น่าสงสัยว่ามีเจตนาต้องการ “เคลียร์คัต” ตัดตอนทางกฎหมายหรือเปล่า เพราะหากย้ำว่านาฬิกาที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นของคนอื่น นั่นก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะต้องไม่ลืมว่าในรายการแฉของเพจดังอย่าง CSI LA ที่ออกมาถี่ยิบนั้นมีหลายเรือนที่ระบุว่าเกิดขึ้นในปี 2553 เมื่อเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งตามกฎหมายก็ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังพ้นตำแหน่ง แต่จากการตรวจสอบยังไม่ปรากฏในเรื่องทรัพย์สินนาฬิกาดังกล่าว เป็นการเลี่ยงเรื่องข้อกล่าวหาปกปิดทรัพย์สิน รวมไปถึงเรื่อง “ร่ำรวยผิดปกติ” หรือเปล่า

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ตามมาอีกก็คือ “ยืมนาฬิกาเพื่อนใส่” สังคมจะเชื่อถือหรือไม่ว่าคนระดับนี้ถึงกับต้องยืมนาฬิกาเพื่อนมาใส่ และยังทำให้เกิดคำถามต่อเนื่องตามมาอีกหลายคำถาม เช่น เพื่อนคนนั้นคือใคร ทำอาชีพอะไร สนิทสนมกันขนาดใหน ถึงขนาดที่ให้ยืมนาฬิการาคาแพงเรือนละเป็นล้านมาให้ใส่ อีกทั้งเพื่อนคนนั้นก็ต้องเข้าขั้นรวยมาก แต่คำถามคือแล้วมาสนิทกับ “พี่ใหญ่” ได้อย่างไร จะเกี่ยวข้องกับเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” อีกหรือไม่

ดังนั้น แม้ว่าหากมองในแง่ความจำเป็นของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ต้องยืนยันว่าเป็น “นาฬิกาของเพื่อน” เพื่อตัดตอนเรื่องผิดกฎหมายการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน การปกปิดทรัพย์สิน รวมไปถึงอาจมีเรื่องข้อหาร่ำรวยผิดปกติเข้ามาอีก จึงต้องยืนยันตัดบทไปแบบนี้ แต่สำหรับความรู้สึกของสังคมนั้นจะออกมาเป็นตรงกันข้ามหรือไม่น่าติดตามนัก

อีกด้านหนึ่งกรณีนาฬิกาของพี่ใหญ่ ครั้งนี้ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากฝ่ายตรงข้ามกันแบบ “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” เป็นครั้งแรก และเริ่มถล่มกันแบบไม่ยั้ง เรียกว่า งัดออกมาทุกเม็ด เสียดสี “เหยียดหยาม” กันสนุกปาก โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม โจมตีกระทบไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เคยดูแคลนพวกนักการเมืองเอาไว้มาก ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มทำให้เครดิตขององค์กรตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช.โดยเฉพาะตัวประธาน ป.ป.ช.อย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ต้องทำงานลำบาก เพราะเครดิตถูกบั่นทอน

การโจมตีทำท่าจะกลายเป็นแพกเกจ นั่นคือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เครดิตขององค์กร ป.ป.ช. รวมไปถึงจะมีการขุดคุ้ยกล่าวหาเรื่อง “ใบสั่ง” การแก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แก้ไขให้ “ต่ออายุ” กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งหลับตาก็มองออกว่าเป็นใคร และมองไปถึงเป้าหมายวันข้างหน้าด้วยว่าทำไมถึงต้องแก้ไขให้เป็นแบบนี้

แน่นอนว่า สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องนีทำให้เขาต้องคิดหนัก เพราะมันเกี่ยวข้องกับความศรัทธา จาก “กองหนุน” ที่เหลือน้อยลงทุกที ซึ่งมาเจอเอาเรื่องแบบนี้มันจะหมดไปและกระแสจะพลิกกลับเอาได้ง่ายๆ และที่สำคัญมันย่อมส่งผลไปถึงอนาคต เพราะหากยังอุ้ม “ซากศพพี่ใหญ่” เอาไว้แบบนี้ โอกาสที่จะไปต่อแทบจะมืดมนเลยทีเดียว!


กำลังโหลดความคิดเห็น