xs
xsm
sm
md
lg

ปี 60 คสช.ลุแก่อำนาจ ปี 61 “ลงุตู่” จะ เกรี้ยวกราดกว่าเดิม???

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

“..ประชาชนอยากเห็นผมยิ้ม หัวเราะ อยากเห็นพูดจาเพราะๆ ผมก็สัญญากับทุกคนว่าจะทำให้ดีที่สุด ในปีหน้าจะเป็นนายกฯที่อารมณ์ดีตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพยายามจะทำให้ผมหงุดหงิดก็ตาม จะไม่หงุดหงิดตามอีกแล้ว สัญญากับตัวเองไว้แล้ว..”

คือคำกล่าวช่วงหนึ่งของ “นายกฯ ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในระหว่างการประชุมคณรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการหรือ ครม.สัญจร ที่ จ.สุโขทัย เสมือนเป็นการตั้ง “ปณิธานปีใหม่” หรือที่ ภาษาฝรั่งเรียกกันว่า “New Year Resolution” ที่นิยมทำกันในช่วงสุกดิบปีใหม่ปีเก่า ในการทบทวนพฤติกรรมที่ไม่ดีบางประการ เพื่อลดละเลิกและเริ่มต้นปีใหม่ บ้างก็ตั้งใจกันไว้ 10 เรื่อง 20 เรื่อง บางคนตั้งเป้าไว้เป็น 100 เรื่องก็มี

แต่สำหรับ “บิ๊กตู่” ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่า ปัจจัยด้าน “อารมณ์บูดบึ้ง” เป็นสาเหตุต้นๆที่ทำให้คะแนนนิยมตกต่ำอย่างหนักในขวบปีที่ 3 ย่างเข้าปีที่ 4 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

หากแต่คำมั่นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “นายกฯ ตู่” เคยให้สัญญาไว้ ด้วยเมื่อต้นปี 2559 หรือเมื่อราว 2 ปีก่อน ก็เคยให้สัญญิงสัญญาในลักษณะเดียวกันมาก่อนว่า “..ปีหน้าผมก็จะให้ของขวัญตัวเองเหมือนกัน ปีหน้าผมจะพูดให้น้อยลง หงุดหงิดน้อยลง ทะเลาะกับนักข่าวน้อยลง ต้องทำตัวเป็น Good Guy แล้ว ไม่ได้แล้ว 2 ปี แล้ว ที่ผมดุเดือดหน่อย 2 ปีเพราะว่าเป็นช่วงเริ่มต้น เพราะฉะนั้นช่วงปีต่อไปเป็นเรื่องการปฏิรูป ผมบอกแล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ผมปฏิรูปตัวผมเองด้วย..”

แต่เชื่อหรือไม่ว่าการประกาศปฏิรูปอารมณ์ตัวเองในครั้งนั้น กินเวลาสั้นๆได้แค่ 12 วัน เมื่อเปิดทำการหลังปีใหม่มาได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ “ลุงตู่ Good Guy” ก็สวมวิญญาณ “Bad Guy” คนเดิม เมื่อต้อง “ตบะแตก” หลังถูกจี้ถามเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ จนสะกดอารมณ์ไม่อยู่ขึ้น “มึง-กู” กลางวงนักข่าว ด้วยการสบถ “ปัดโธ่!! แล้วจะให้กูทำยังไง” ออกมา

หรือหากย้อนไปไกลตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจเมื่อปี 2557 หรือกระทั่งสมัยยังเป็น ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อยู่ ก็จะพบว่า “บิ๊กตู่” มีการพูดในลักษณะให้คำมั่นที่จะ “ปฏิรูปอารมณ์ตัวเอง” มาแล้วหลายสิบครั้ง

ทุกครั้งก็ปรากฎว่า “คว้าน้ำเหลว” ไม่สามารถบรรลุปณิธานได้เลย ที่สำคัญหลังเข้ามารับบทบาท “ท่านผู้นำ” ก็ยิ่งทำให้ปัญหาการจัดการอารมณ์ของตัวเองหนักข้อขึ้นเสียอีก

นอกเหนือจากปัญหาด้านอารมณ์ที่หนักข้อขึ้นกว่าเดิมแล้ว ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็เป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตมาโดยตลอด

ซึ่งอาจจะพอเข้าใจได้บ้าง ในช่วงที่ คสช.เข้ามาเมื่อยึดอำนาจช่วงกลางปี 2557 ด้วยสถานการณ์ขณะนั้น มีความจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจ “คณะรัฐประหาร” เป็นตัวขับเคลื่อน ตลอดจนอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ผ่านบทบัญญัติมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่เรียกกันว่าเป็น “อำนาจครอบจักรวาล” นั่นเอง

ทว่ามาถึงปีนี้ 2560 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ย่างเข้าปีที่ 4 ของ คสช. อันได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2560 ซึ่งผ่านเสียงสนับสนุนลงประชามติมาอย่างท่วมถ้นแล้ว เมื่อเดือน เม.ย.2560 เป็นต้นมา ก็พบว่า “รัฐบาล คสช.” ยังมีพฤติกรรมการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตอยู่อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งยังบรรจุ “อภินิหารกฎหมาย” อย่างอำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไว้ในบทเฉพาะมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ 2560 รวมทั้งการคงสถานะประกาศหรือคำสั่งต่างๆของ คสช.ไว้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งด้วยแล้ว เอาแค่

คำสั่ง คสช.ตามมาตรา 44 ที่ควรใช้เฉพาะยามจำเป็น แต่แค่ปี 2560 ที่อะไรๆควรจะเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แต่ยังต้องไปอาศัยอภินิหาร มาตรา 44 เกินกว่า 50 คำสั่ง สะท้อนให้เห็นการใช้อำนาจไม่เป็นของรัฐบาล คสช.อย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกันพฤติกรรมของ “บุคคลในรัฐบาล” เอง ทั้งตัว “ท่านผู้นำตู่” ตลอดจนคนรอบข้าง ที่มีพฤติกรรมเกรี้ยวกราด - กดหัว ทั้งประชาชน ฝ่ายการเมือง และสื่อมวลชน มาโดยตลอด

ในรายของ “นายกฯตู่” ที่ดูมั่นอกมั่นใจในอำนาจที่มีอยู่ในมือ ถึงขนาดประกาศว่า “ที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น” เลยทีเดียว

ช่วงไคลแมกซ์ช่วงหนึ่งของปี 2560 น่าจะเมื่อเดือย เม.ย. ต่อเนื่องถึงเดือน พ.ค. ที่มีประเด็นร้อนอย่างโครงการจัดซื้อ เรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากสาธารณประชาธิปไตยประชาชนจีน งบประมาณรวม 36,000 ล้านบาท ของกองทัพเรือ ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. ไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการแถลงข่าวต่อสาธารณะ เหมือนวาระปกติ ทั้งที่เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก อีกทั้งยังมีข้อถกเถียงถึงความคุ้มค่า-ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ของกองทัพ ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สู้ดีนัก

แต่รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารของประเทศ กลับเลือกที่จะ “งุบงิบ” อ้างว่าเป็นเรื่องของชั้นความลับความมั่นคงของประเทศ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎต่อสื่อมวลชนและประชาชน จึงมีคำถามไปถึง “นายกฯ ตู่” ตลอดจนเจ้าของโปรเจ็กต์อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม รวมไปถึง “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วย

หากแต่คนในรัฐบาลก็เลือกที่จะไม่ชี้แจงให้มีความชัดเจน ทำเรื่องให้มี “ลับลมคมใน” พร้อมประกาศอย่างพร้อมเพรียงกันว่า ไม่ต้องมาสอบถามเรื่องนี้อีก สร้างความกังขาให้กับสังคมอย่างมาก ที่ถูกรัฐบาลปกปิดข้อเท็จจริง ทั้งที่งบประมาณที่ว่านั้นก็มาจากเงินภาษีของประชาชนเจ้าของประเทศ

จังหวะเดียวกันนั้นเอง ก็มีความพยายามจาก คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน ที่เสนอต่อ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ยังไม่หมดวาระในขณะนั้น เร่งเร่งผลักดันร่าง พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน หรือ “กฎหมายกดหัวสื่อ” อันมีเนื้อหาปิดกั้นเสรีภาพสื่อมวลชนและเปิดช่องให้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างชัดเจน

ซึ่งแน่นอนต้องเป็น “ใบสั่ง” มาจากผู้มีอำนาจอย่างแน่นอน

ไม่เท่านั้นยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่ส่อไปในทางละเมิดสิทธิเสรีภาพ - สิทธิมนุษยชน อยู่เนืองๆ ใครที่แหลมออกมาในทางเป็นฝ่ายต่อต้าน คสช. ก็มักจะคุกคามด้วยมาตราการเชิญตัวไป “ปรับทัศนคติ” พร้อมข่มขู่ด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะทางซีกพรรคเพื่อไทย-แนวร่วมเสื้อแดง ที่หลายคนที่มีบทบาทถูกประเคนด้วยคดีความกันอย่างถ้วนหน้า

กระทั่งครั้ง ครม.สัญจร ในพื้นที่ภาคใต้ ปบายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ประชาชนที่มาร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็หลับถูก “ลุงตู่” ตวาดด้วยวาจารุนแรง เหมือนหลงลืมสถานะของตัวเองที่เป็น“ผู้นำรัฐบาล”หาใช่ “ผู้บัญชาการทหาร”ที่ปฏิบัติกับลูกน้อง-ไพร่พล ประกอบกับภาพความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อ “ม็อบต้านโรงไฟฟ้า” แล้ว ก็จะสะท้อนให้เห็นถึง“ทัศนคติ”ของ“ผู้มีอำนาจ”ในยุคนี้

พูดกันถึงขนาดว่า อากัปกิริยาที่ไม่ให้เกียรติกันเช่นนี้ แย่ยิ่งกว่าสมัย “ทาสในเรือนเบี้ย” เสียอีก เพราะผลักให้ “ผู้เห็นต่าง” กลายเป็น “ศัตรู” ไปเสียหมด

ที่หนักไปกว่านั้นคือ การไม่ยี่หระเห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่องคาพยพของตัวเองอย่าง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานร่างขึ้นมา รวมทั้งไม่มองข้ามเสียงประชามติของประชาชน ด้วยการออกกฎบัตร-กฎหมาย ที่ไม่เพียงแต่ไม่นำพาเอารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นหลักแล้ว ยังหาญกล้าเขียนเนื้อให้มีความแตกต่าง-หักล้างกันอย่างหน้าตาเฉย

ไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้มาไม่กี่เดือน แต่ติดขัดกลไก-กับดักที่ คสช.ขุดเอาไว้ จนทำให้ส่อเค้าจะถึงทางตัน ก็ต้องใช้มาตรา 44 มาผ่าทางตัน กลายเป็นการใช้อำนาจ “คณะรัฐประหาร” ที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง

ร้ายแรงที่สุดเห็นจะเป็น ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ที่กล้าหักเนื้อหาเดิมของ กรธ. ซึ่งเขียนล้อมาจากรัฐธรรมนูญ ในส่วนของ “ลักษณะต้องห้าม” ของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระจนป่นปี้

โดยในมาตรา 178 ของ พ.ร.ป.ป.ป.ช.ก็ว่าด้วย การต่ออายุการดำรงตำแหน่งของ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ให้อยู่จนครบวาระ 9 ปี นับจากการเข้าดำรงตำแหน่งของแต่ละคน โดย “กมธ.เสียงข้างมาก” ที่มีชื่อ “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่คสช. ยกเหตุผลว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ “ทำงานเข้าฝัก” อยู่แล้ว

เหลือเชื่อว่า เหตุผล “ทำงานเข้าฝัก” ที่มาจากความรู้สึกของ กมธ.เสียงข้างมาก กลับมีน้ำหนักเหนือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็น “กฎหมายสูงสุด” ไปได้ ซ้ำร้ายที่ประชุม สนช.ยังโหวตผ่านไปตามฉายา “สภาฝักถั่ว” เสียด้วย

ถอดรหัสไม่ยากว่าปฏิบัติการครั้งนี้มีความมุ่งหมายที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบัน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ “บ้านวงษ์สุวรรณ” นั่นเอง แต่ก็มีอานิสงส์ไปถึง 6 กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีคุณสมบัติส่อขัดรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน หากจะให้อยู่ต่อต้องอยู่กันหมด เว้นใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ จึงได้ลากกันยาวๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังไปขัดวรรคท้าย มาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุชัดว่า “การตรากฎหมายนั้นต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีหนึ่งกรณีใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ...” อีกด้วย

ถือเป็นความอาจหาญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านกลไกสนช.ที่ลงมือต่ออายุกรรมการป.ป.ช.ชุดนี้ เพราะมันเป็นการกระทำที่อุกอาจ ชนิดที่ถ้าเป็นรัฐบาลเลือกตั้งเป็นคนทำ รับรองว่า อาจอยู่ไม่ได้ เพราะมันเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมที่โจ๋งครึ่มที่สุดครั้งหนึ่ง

เป็นปฏิบัติการ “มาตุฆาต” หรือ ลูกฆ่าแม่ ด้วยการใช้ “พ.ร.ป.ป.ป.ช.” ที่มีศักดิ์เป็น “กฎหมายลูก” มาลบล้างเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่เป็น “กฎหมายแม่”

การไม่รีเซ็ตกรรมการป.ป.ช.ด้วยการย่ำยีรัฐธรรมนูญ ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น นอกจากการต้องการให้คนของตัวเองอยู่ในองค์กรสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายบ้านเมืองได้ต่อ เพราะในภายภาคหน้า จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการคอนโทรลคดีความต่างๆ ของนักการเมือง รวมทั้งคอยเป็น “องครักษ์”ให้กับ “ขุนทหารคสช.” หลังลงจากอำนาจไปแล้ว เพื่อให้รอดพ้นเภทภัยการถูก “เช็กบิล” จากขั้วอำนาจอื่น ที่ถูก คสช.สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจมาไม่น้อยช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หมกมุ่นอยู่กับประโยชน์ของตัวเอง จน “ลุแก่อำนาจ” ถึงขั้นกล้ากระทำการขัดรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมากับมือ และเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการประชามัติมาอย่างท่วมถ้นเสียด้วย เลวร้ายกว่าสมัย “ระบอบทักษิณ” ที่ยังเนียมอายเล่น “ลักหลับกลางดึก” แต่สมัย “รัฐบาลลายพราง” กลับเอากันโจ่งๆ กลางวันแสกๆ เลยทีเดียว

เมื่อ “ผู้มีอำนาจ” กล้าเหยียบรัฐธรรมนูญ กล้าย่ำเสียงประชามติ ก็อาจจะเป็นชนวนสำคัญที่อาจส่งผลให้ “องคาพยพ คสช.” ต้องพังพาบไปทั้งกระบิเร็วกว่าที่คาด

ยิ่งย่างเข้าปีหน้า 2561 ที่เป็นโค้งสุดท้ายของโรดแมป คสช.อย่างแน่นอนแล้ว มีเดิมพันสารพัดเข้ามาเป็นแรงกดดันรัฐบาลที่ถืออำนาจ ทั้งการปูทางเข้าสู่เลือกตั้ง หรือการไต่ปีนป่ายสืบทอดอำนาจต่อไปของ “ขุนทหาร คสช.” ท่ามกลางความท้าทายของ “ฝ่ายต่อต้าน” ที่คงหนักข้อมากขึ้นด้วยแล้ว

ก็เชื่อว่าเดิมพันเหล่านี้ จะกลายเป็นแรงกดดันที่จะยิ่งทำให้ “ขุนทหาร คสช.” แสดงความเป็นตัวตน และทัศนคติที่แท้จริงออกมามากขึ้น เหมือนเมื่อครั้งที่ถูกกดดันเรื่องอนาคตของ “บิ๊กป้อม” ที่ถึงกับทำให้ “นายกฯ ตู่” ต้องเบ่งกล้ามขู่ฟ่อกลับมาว่า

“เขาต้องการตี (พล.อ.ประวิตร) ให้แตกออกจากผม ก็รู้อยู่ ผมเองก็แข็งแรงเยอะ ถ้ายิ่งไม่มีคนอยู่ด้วยก็จะยิ่งดุกว่าเดิม จะใช้อำนาจอย่างเต็มที่”

ก็เชื่อว่าในปี 2561 ที่มีแรงกดดันพรั่งพรูมาไม่หยุดนั้น แทนที่ “บิ๊กตู่” และชาวคณะ คสช. จะทำไม่ได้อย่างที่สัญญาว่าจะอารมณ์ดี-ไม่หงุดหงิดแล้ว ก็ยังจะ “ลุแก่อำนาจ” มากขึ้น ดุกว่าเดิม อย่างที่เคยพูดทีเล่นทีจริงไว้มากกว่า

ก็อยากให้สำเหนียก และขอให้ไปย้อนดูว่า “รัฐบาลเผด็จการ-รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่ “ลุแก่อำนาจ” มันมีจุดจบกันอย่างไรกันบ้าง.
กำลังโหลดความคิดเห็น