เมืองไทย 360 องศา
ตามกำหนดการที่เปิดเผยออกมา ทำให้ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมคณะ มีกำหนดการลงตรวจเยี่ยมพี่น้องประชาชนที่จังหวัดตรังในวันที่ 8 ธันวาคมนี้
แน่นอนว่า ไม่ต้องอธิบายกันมากก็รู้กันดีว่าเวลานี้ทางภาคใต้กำลังประสบกับอุทกภัยอย่างหนักต่อเนื่องมานานหลายเดือนแล้ว และในพื้นที่จังหวัดตรัง ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ประสบภัยหนักหนาสาหัสมาก่อนในช่วงแรกๆ แม้ว่าจะเริ่มคลี่คลายลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าสาหัสอยู่ ดังนั้น การที่ผู้นำ หรือผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลลงไปเยี่ยมเยียนบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านย่อมเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม
ขณะเดียวกัน สำหรับพื้นที่จังหวัดภาคใต้ย่อมเป็นพื้นที่พิเศษสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ว่าได้ โดยเฉพาะหากอ้างอิงจากผลสำรวจก็จะทราบดีว่าพื้นที่ภาคใต้ถือว่าเป็นพื้นที่ “ฐานเสียง” สำคัญของเขา นั่นคือ ที่ผ่านมากว่า 3 ปีนับตั้งแต่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาพี่น้องชาวใต้นี่แหละที่ถือว่ายังสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นเป็นกอบเป็นกำมาตลอด
อย่างไรก็ดี แม้ว่าที่ผ่านมาความนิยมจะลดลงไปบ้าง ด้วยเหตุผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตัวหลัก เช่น ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ต่างราคาตกต่ำแบบติดดินมานานนับปี สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้ความศรัทธาต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเขาตกลงอย่างฮวบฮาบ
แต่สิ่งที่เรียกว่า “พลาด” อย่างยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือ การล่องใต้ครั้งก่อนระหว่างลงไปประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ และตรวจราชการที่จังหวัดสงขลาและปัตตานี เมื่อวันที่ 27-28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะเกิดความเครียดและกังวลเรื่องความปลอดภัยมากเกินเหตุหรือเปล่า รวมไปถึงการไม่เข้าใจจิตวิทยามวลชน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับมวลชนบางกลุ่มในพื้นที่ เช่น การจับกุมดำเนินคดีกับมวลชนที่ต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ภาพที่นายกรัฐมนตรีตะคอกขึ้นเสียงกับชาวประมงที่มาร้องเรียน แม้ว่าในทางกฎหมาย หรือในรายละเอียดอื่นๆ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็น แต่ถึงอย่างไรในทางการเมืองย่อมไม่เป็นผลดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน
ภาพที่ปรากฏออกมาในทางสาธารณะตั้งแต่วันนั้น ไม่มีผลบวกเลยแม้แต่น้อย ประกอบกับปัญหาความเดือดร้อนจากเรื่องปากท้องอันเนื่องมาจากปัญหาราคายางพารา และปาล์มน้ำมันตกต่ำ ทำให้การเยือนพื้นที่ภาคใต้ในวันนั้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงได้รับท่าที “วางเฉย” จากพี่น้องชาวใต้มากขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในช่วงนี้บรรดาแกนนำ กปปส. ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เคยออกมาสนับสนุนให้ชาวบ้านส่งเสียงเชียร์ กลับเงียบกริบ ทางหนึ่งคงไม่กล้าฝืนกระแสความรู้สึกของชาวบ้าน
ในทางตรงข้าม เริ่มได้เห็นการเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. อดีต ส.ส.สงขลา ที่เรียกร้องให้เร่งแก้ปัญหายางพาราอย่างรวดเร็ว
วกกลับมาที่กำหนดการลงใต้รอบใหม่ที่จังหวัดตรังในวันที่ 8 ธันวาคม แน่นอนว่าหากพิจารณากันในเชิงการเมืองก็ต้องบอกว่านี่ต้องเป็นการ “แก้ตัวใหม่” ไม่ให้พลาดเหมือนครั้งที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจว่าการลงไปเที่ยวนี้จะต้อง “จัดเต็ม” ทั้งในเรื่องมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูในพื้นที่ภาคใต้กันอย่างเต็มที่ รวมไปถึงคณะที่ติดตามลงไปนอกเหนือจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรายอื่นๆ รวมไปถึงฝ่ายทหารที่ต้องมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยที่กำลังขยายวงกว้างในเวลานี้ เพื่อเรียกเรตติ้งให้กลับคืนมา
อีกทั้งคราวนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีใหม่ได้แล้วอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ที่สามารถผนึกกำลังกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะนี่คือรายการทุ่มกำลังครั้งสุดท้าย เนื่องจากเวลาเหลือจำกัดลงทุกทีแล้ว
ดังนั้น การลงพื้นที่ภาคใต้ที่จังหวัดตรังเที่ยวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะ ถือว่ามีความสำคัญยิ่ง ในทางการเมืองถือว่าเป็นรักษาฐานเสียงที่มีอยู่เดิมให้มั่นคงเพื่อผลในวันข้างหน้า ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะต้องมีการสร้างความมั่นใจ มีมาตรการช่วยเหลือที่ “จัดเต็ม” ออกมาแน่นอน!