xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ” ชี้เหตุเกิดที่เทพา ขรก.เป็นเครื่องมือคุมประชาชน สนองทุนครอบงำประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายพิภพ ธงไชย(ภทพจากแฟ้ม)
อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ชี้เหตุเกิดที่เทพา สะท้อนการพัฒนาประเทศถูกกำหนดโดยทุน มีระบบราชการที่เข้มแข็งเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน มุ่งพัฒนาโครงสร้างแบบทุนนิยม เมินเศรษฐพอเพียง ชี้ถ้าไม่แก้ประเทศจะถูกครอบงำโดยทุนนิยมแบบอเมริกัน ผสมจีนคอมมิวนิสต์ ประชาชนจะอ่อนแอ ไร้คุณภาพทุกด้าน

วันนี้ (29 พ.ย.) นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Pibhop Dhongchai แสดงความคิดเห็นกรณีเจ้าหน้าที่จับกุมแกนนำผู้คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน อ.เทพา จ.สงขลา ว่าเหตุเกิดที่เทพา สถานการณ์กำลังจะเดินไปตามที่เคยเกิดในประวัติศาสตร์อันจะซ้ำรอยเดิม ซึ่งรัฐไม่คิดจะเรียนรู้ สิ่งที่รัฐบาลควรตั้งคำถามต่อตัวเอง ว่าทำไมโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ และของทุนฯ จึงถูกต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย

เครื่องมืออะไรที่รัฐสมัยใหม่นำมาใช้เพื่อให้ประชาชนยอมรับ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับ นับตั้งแต่ขบวนการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผลกระทบสุขภาพ (HIS) และผลกระทบทางสังคม (SIA) ประชาชนกลับเห็นว่าเป็นรายงานปลอมๆ ที่นักวิชาการขายตัวตามมหาวิทยาลัยต่างๆ รับจ้างเขียนขึ้น

การบอกว่ากระแสไฟฟ้าไม่พอ ไฟฟ้าจะดับ ขณะที่เรานำไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้อย่างเต็มที่ ชาวบ้านเขาจึงไม่เชื่อ

ถ่านหินที่ว่าสะอาด ขณะที่มีพลังงานอื่นสะอาดกว่า เช่น พลังงานแสงแดด (Solar Cell) พลังงานลม รัฐทำไมไม่เลือกและส่งเสริมมาใช้แทน ทั้งที่เทคโนโลยีเหล่านั้นก้าวหน้าไปไกลมาก ซึ่งจะมาแทนพลังงานเก่าได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ รัฐกลับไม่สนใจ

เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐต้องตอบ ถ้ารัฐไม่ตอบ ประชาชนก็จะไม่หยุดการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการต่างๆ ในพื้นที่

ความรุนแรงที่รัฐอ้างจนนำไปสู่การจับกุม รุนแรงจริงหรือ ไม่มีใครเชื่อว่าประชาชนต้องการใช้ความรุนแรง ดังภาพที่ปรากฏ

และที่กล่าวหาว่า ประชาชนมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่เป็นพลังบริสุทธิ์ จริงหรือ ในขณะเดียวกัน รัฐก็ถูกกล่าวหากลับเช่นกัน

แต่ถ้ากล่าวโดยทฤษฎีแล้ว ย่อมกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดที่เทพาได้ว่า มีเหตุมาจากการกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัว จนเกิดการแบ่งชนชั้น ที่ผ่านระบบราชการผสมระบบทหารและทุนนิยม ที่ผ่านระบบการศึกษาแบบอำนาจนิยมและรวมศูนย์ ขาดประชาธิปไตยในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ขาดเสรีภาพขาดการแสดงออกของเด็กๆ และนักศึกษา อย่างอิสระ ที่ผ่านระบบวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์และพวกพ้อง

การละเว้นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะคืดว่าเป็นวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไปไม่ได้กับวัฒนธรรมไทย แบบเก่า และกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือการเมืองของตะวันตก ซึ่งจริงและไม่จริงบางส่วน โดยขาดการใช้ปัญญาแยกแยะ ว่าอะไรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคน “รู้สึก” ได้ และต้องได้สิทธินั้น

การตัดการมีส่วนร่วมและตัดสินใจการพัฒนาประเทศและการพัฒนาชุมชน ของประชาชน โดยประชาชน เป็นของประชาชน แต่กลับเป็นการตัดสินใจโดยรัฐ และโดยทุน เท่านั้น

การใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จนเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม และนำไปสู่ภาวะการไร้วินัย และไร้รสนิยม ที่นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชัน การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ติดระดับโลก และการขาดซึ่งความงาม ความดี ที่จะเข้าถึงความจริง สังคมจึงพิกลพิการอย่างที่เห็นกันอยู่

การถูกการชี้นำการพัฒนาประเทศโดยกลุ่มทุนและชนชั้นนำที่ผูกขาด มาไม่น้อยกว่า ๖๐ ปี ทำให้ “ศาสตร์พระราชา” จะกลายเป็นเพียง “อุดมคติ” เท่านั้น

การส่งเสริมให้ระบบราชการแข็งแรงขึ้น ที่ไปควบคุมประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนกลายเป็นเพียง “ผู้อาศัยในแผ่นดินเกิด”

เพราะไม่กระจายอำนาจการบริหารและการปกครอง การพัฒนา อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่เกิดระบบกระจายอำนาจนี้มาตั้ง ๒๐ ปี และถูกตราไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ขยับตัวไปไม่ถึงไหน

การส่งเสริมให้กองทัพแข็งแรงและโดดเดี่ยวตัวเอง เป็นประหนึ่ง “รัฐอิสระ” ที่ไร้การตรวจสอบและควบคุม ทำให้กลายเป็น “รัฐ” ที่มี “อำนาจเหนือรัฐ” ไม่ว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งก็ตาม

การขาดการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ การขาดความคิดแบบวิทยาศาสตร์ การขาดการส่งเสริมความคิดริเริ่มใหม่ๆ ทำให้ขาดความรู้จริงทั้งระบบ ที่แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ อย่างที่เห็นอยู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านการพัฒนาโดยประชาชนทุกยุคทุกสมัย

ความคิดริเริ่มที่โลกยกย่อง คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” รัฐบาลกลับไม่จัด “โครงสร้างการพัฒนาเศรษฐพอเพียง” รองรับ แต่กลับสร้าง “โครงสร้างการพัฒนาแบบทุนนิยม” ให้แข็งแรงขึ้น ที่ไปทำลายสิ่งแวดล้อม และเกิดมลพิษทั้งใต้ดินและบนดิน อาหารการกิน ที่เต็มไปด้วยสารเคมี ที่มีพิษภัยต่อร่างกาย ส่งผลไปสู่สุขภาพที่ทำให้เกิดโรคในคนไทย จนติดระดับโลก

ถ้าเราไม่มีแรงพอ ที่เอาตัวออกจากระบบทุนนิยม จะกำหนดยุทธศาสตร์คู่ขนาน ระยะแรกให้ “โครงสร้างเศรษฐกิจพอเพียง” เดินคู่ขนานไปกับ “เศรษฐกิจทุนนิยม” ก็ได้ แต่ต้องตระหนักรู้ตลอดเวลา ว่า เศรษฐกิจทุนนิยมเป็นเสมือน “ยักษ์” ที่พร้อมจะกลืนกินด้วยระบบบริโภคนิยม ที่ไปกระตุ้นความอยากของมนุษย์ตลอดเวลา ในขณะที่เศรษฐกิจพอเพียง มีฐานทางศาสนาธรรมกำกับอยู่ ถ้าไม่มีการจัดการที่ดี เราจะพ่ายแพ้

คิดดูว่าสิ่งต่างๆ ข้างต้น สังคมไทยมีระดับไหนในแต่ละหัวข้อ แล้วจะเห็นว่าเส้นทางการพัฒนาประเทศจะเป็นเช่นไร ก็พอมองกันออก และถ้าไม่แก้ไข ประเทศไทยจะถูกครอบงำโดยระบบทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกาผสมยุโรป และระบบทุนนิยมแบบจีนคอมมิวนิสต์ จนกลายเป็นรัฐที่ถูกกำกับด้วยระบบทุนนิยมทั้งสองแบบ

ภายใต้คนที่ไร้คุณภาพทุกด้าน จนกลายเป็นคนอ่อนแอ ที่พร้อมจะเป็นเหยื่อต่อระบบทุนนิยม และอำนาจนิยม จะมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ลุกขึ้นสู้ เพราะ “ตระหนักรู้” แสดงความหวงแหนแผ่นดินเกิด อย่างเหตุเกิดที่ “เทพา”


กำลังโหลดความคิดเห็น