xs
xsm
sm
md
lg

พี่ใหญ่ : ไม่โกงสักบาท แรงสะท้อน “สีเทา” สลัดยาก!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

“ยืนยันผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์อะไรตามที่สื่อพูด ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ชิดผมแล้วมีเรื่องทุจริต หากสื่อรู้ขอให้บอกมา ผมจะลงโทษอย่างหนัก ใครที่ผมดูแลแล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ขอให้บอกมาว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน ไม่ถูกอย่างไร ไม่ใช่ไปเขียนเองว่าคนใกล้ชิดไปทำอะไร ผมดูหมด ในเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ไม่มีคนใกล้ชิดผมไปเรียกรับผลประโยชน์ บาทเดียวก็ไม่มี”

นั่นเป็นคำยืนยันของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กล่าวย้ำเมื่อถูกถามเกี่ยวกับข่าวคนใกล้ชิดไปเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ได้ออกมายืนยันถึงความเป็นคนดีของ พล.อ.ประวิตร โดยระบุว่าหากไม่ดีจริงก็คงไม่คบกันยาวนานกว่า 40 ปี

จากคำพูดดังกล่าวของทั้งสองคนที่ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในเวลานี้ที่ต้องออกมาการันตีความบริสุทธิ์ส่วนบุคคล โดยทั้งเจ้าตัวเองคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าไม่โกง คนใกล้ชิดก็ไม่โกง หรือ “ไม่ให้โกงมาให้ด้วย” รวมไปถึงคนระดับนายกฯ ยังต้องมาออกรับประกันแทนด้วยว่า “ไม่โกง” มันก็ทำให้เกิดการตั้งคำถามตามมาอีกมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะหากพิจารณากันมาตั้งแต่ต้นข้อสงสัย หรือคำกล่าวหาทั้งในแบบเปิดเผยและลับหลังก็มีกออกมาในลักษณะแบบนี้มาตลอด กลายเป็นว่า “ทุกเรื่องอื้อฉาว” ล้วนลากโยงไปหาเขาทั้งหมด

คำถามก็คือ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา มันเป็นข้อกล่าวหาลอยๆ หรือว่าเป็นการจงใจใส่ร้ายป้ายสีจากฝ่ายตรงข้าม

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับกันว่าภาพลักษณ์ดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เข้ามาสู่วงการเมือง หากจำได้ก็น่าจะมีมาตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็มีข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายเป็นผู้บัญชาการทหารบก และถูกระบุว่าเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้ “พ้นมลทิน” ในเวลาต่อมา

อาจเป็นเพราะเป็นคนที่มี “คอนเนกชัน” ในทุกวงการ ในลักษณะของ “พี่ใหญ่” ที่มีเครือข่ายมากมายทั้งในแวดวงราชการและธุรกิจ ที่สำคัญก็คือมีคนใกล้ชิดมีลูกน้องแวดล้อมมากมาย ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ทุกเรื่องย่อมไม่พ้นจากตัวเขาไปได้

ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ตั้งแต่เรื่องสังคมทั่วไปจนถึงเรื่องการเมือง การแต่งตั้งโยกย้าย หรือแม้แต่การปรับคณะรัฐมนตรีทุกเรื่องล้วนพุ่งเป้ามาที่เขาคนนี้ เอาเป็นว่าแม้แต่เป็นประธาน “ทอดกฐิน” ที่วัดใดก็ตามเป็นได้เห็นยอดเงินทำบุญเข้าวัดมากเป็นประวัติการณ์

ถามว่าเรื่องโยกย้ายทหาร โยกย้ายตำรวจ การปรับคณะรัฐมนตรีก็ยังถูกระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็มีโควตาไม่เชื่อก็ลองจับตากระทรวงแรงงานว่าจะมีใครมานั่ง รวมไปถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นต้น

และล่าสุดเรื่องอื้อฉาวในเวลานี้ก็คือกรณี “ส่วยภูเก็ต” ที่ตอนแรกมีการแฉโพยกล่าวหาตำรวจยศ “พลตำรวจตรีชื่อดัง” คนหนึ่งและก่อนหน้านี้นายตำรวจคนดังกล่าวก็เคยถูกระบุว่ามีอิทธิพลมากกว่าตำรวจยศพลตำรวจเอกเสียอีก ซึ่งนายพลคนนี้ก็ถูกกล่าวหาว่า “รับส่วย” แต่กลายเป็นว่ามีการสอบสวนโยกย้ายแค่ตำแหน่งระดับล่างอย่างมากก็แค่ระดับผู้กำกับสถานีในพื้นที่พร้อมกับพวกลูกน้องสิบกว่ารายซึ่งถือว่าเป็นระดับ “ปลาซิว” เท่านั้น ไม่ใช่ตัวหลัก

อีกด้านหนึ่งที่มีการพูดกันบ้างเหมือนกันว่า หากพิจารณากันเฉพาะในภาพรวมของรัฐบาลมีหลายคนพูดกันว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมี “พี่ใหญ่” และ “พี่รอง” เอาไว้อยู่ต่อไป เพราะภาพของคนทั้งคู่ต่างถูกมองว่าเป็นภาพ “สีเทา” ที่ไม่ต่างจากหนังหน้าไฟ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ทุกอย่างในแง่ลบจะมาลงที่นี่ทั้งหมด มันก็เหมือนกับการเบี่ยงเบนเป้าหมายออกไป ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์สามารถลอยตัวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันมันก็น่าคิดเหมือนกันว่าหากเป็นแบบนั้นจริงแล้วมันจะคุ้มค่ากันหรือไม่ กับการที่ไม่ต้องมี “หลุมดำ” อยู่ภายใน

หรือไม่เช่นนั้นก็น่าจะเป็นการ “พึ่งพาอาศัยกัน” มากกว่าหรือไม่ ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์วิน-วินกันทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญทั้งคำยืนยันที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมไปถึงการการันตีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มันก็สะท้อนภาพ “สีเทา” ที่สลัดออกจากได้ยาก และยิ่งนานวันยิ่งมีแนวโน้มทบถมจนหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ!
กำลังโหลดความคิดเห็น