xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองเรื่องของพระ!! ความไม่ธรรมดาของ “หม่องนิมิต” ที่ “บิ๊กสงฆ์เชียงใหม่” ต้องปกป้อง ส่วน “เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ” แห่งวัดปากน้ำ ก็เป่าสาก ย้อนวีรกรรม “ศิษย์เอก” สั่ง “พระอุปัชฌาย์” รักษาการสมภารวัดเล็กๆ ในเขตเมือง สมคบคิดชิงเก้าอี้ “เจ้าคณะเชียงใหม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: นกหวีด

เจ้าคุณวิเชียร,เจ้าคุณสมาน,วันชัย ศักดิ์อุดมไชย
ข่าวปนคน คนปนข่าว

**การเมืองเรื่องของพระ!! ความไม่ธรรมดาของ “หม่องนิมิต” ที่ “บิ๊กสงฆ์เชียงใหม่” ต้องปกป้อง ส่วน “เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ” แห่งวัดปากน้ำ ก็เป่าสาก ย้อนวีรกรรม “ศิษย์เอก” สั่ง “พระอุปัชฌาย์” รักษาการสมภารวัดเล็กๆ ในเขตเมือง สมคบคิดชิงเก้าอี้ “เจ้าคณะเชียงใหม่”

“ท่านไม่ได้มีความผิดทางพระธรรมวินัย อาจมีความผิดทางโลกเท่านั้น ควรยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมสละสมณเพศ ก่อนปลีกตัวไปอย่างเงียบๆ” คือ คำกล่าวของ“หลวงพ่อพายัพ”พระราชโพธิวรคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง เจ้าคณะอำเภอดอยสะเก็ด .. ที่มีต่อกรณี “อดีตเจ้าคุณนิมิต” พระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกร้องเรียน และเพิกถอนบัตรประจำตัวประชาชน หลังถูกจับได้ว่า“ปลอมแปลงบัตร - สวมสิทธิ์คนตาย”ปกปิดสัญชาติที่แท้จริงของตัวเอง ที่มีเหล่ากอมาจากประเทศเพื่อนบ้าน .. ดูว่า “หลวงพ่อพายัพ”จะเข้าใจในเรื่อง “ความผิดทางโลก” อย่างถ่องแท้ พูดไปในทำนองเดียวกับที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “บิ๊กฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ออกมาแอ็กชั่นให้เพิกถอนบัตร และไล่เบี้ยหาคนทำผิดทันที ..

หากแต่ในประเด็น“ความผิดทางพระธรรมวินัย”นั้น ดูว่า “ท่านเจ้าคุณชั้นราช” จะตีความเข้าข้างพระรุ่นน้อง “หม่องนิมิต” ว่า ไม่ได้มีความผิดทางพระธรรมวินัยซักหน่อย แถมให้ท้ายด้วยว่า ปลีกตัวไปอยู่เงียบๆ ก่อน .. ก็การสวมสิทธิ์ - ขโมยชีวิตผู้อื่น น่าจะเข้าข่าย “ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน” เข้าเกณฑ์ “อเตกิจฉา” อาบัติหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ไม่กล่าวลาสิกขา ก็ถือว่า “ขาดจากความเป็นภิกษุ” ทันที .. อีกทั้งการสวมเลขบัตรผู้อื่น น่าจะถือเป็นการขโมยที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ตีแล้วเกิน “5มาสก” ค่าเงินทางสงฆ์ที่ประเมินตามตลาดโลกราว “300 บาทไทย”อย่างแน่นอน .. ดูท่า “หม่องนิมิต” นี่คง “ไม่ธรรมดา” ก็ไม่เพียงแต่เจ้าคุณพรรษาสูงอย่าง “หลวงพ่อพายัพ” จะออกมาปกป้อง ทั้งที่เจ้าตัวชิ่งหนีไปแล้ว จนป่านนี้ “เจ้าคุณวิเชียร” พระวิสุทธิวงศาจารย์ แห่งวัดปากน้ำ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะ“เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ”ผู้ปกครองสงฆ์ภาคเหนือทั้งหมด ก็ยังไร้แอคชั่นใดๆ ออกมา ..

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเรื่องเล่ากระหึ่มวงการสงฆ์เมืองเชียงใหม่ อีกว่า “อดีตเจ้าคุณนิมิต”ยังสามารถออกคำสั่งอุปัชฌาย์ตัวเองอย่าง“หลวงพ่อสมาน" พระเทพมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดท่าตอน ที่เป็นถึงรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ได้อีกด้วย .. เป็นคำสั่งจาก“เจ้าคุณนิมิต”ในฐานะ “เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่” ที่สั่งให้ “รองเจ้าคณะจังหวัด” มาทำหน้าที่“รักษาการเจ้าอาวาส”ทั้งวัดพระเจ้าเม็งราย และ วัดเชตวัน ที่อยู่ในเขต อ.เมืองเชียงใหม่ .. จนมีคำถามว่า จากพระอาจารย์ - อุปัชฌาย์ ทำไมยอมมาเป็น“พระใต้บังคับบัญชา”มาปกครองวัดเล็กๆ ที่อยู่ในอาณัติของลูกศิษย์ - ลูกน้องตัวเอง .. เรื่องของเรื่องก็มาจากการที่ พระราชรัชมุนี ใช้อำนาจตัวเองเมื่อหลายปีก่อน สั่งพักการปฏิบัติหน้าที่สมภารวัดทั้งสอง ทั้งที่ไม่พบความผิดแต่อย่างใด แล้วสั่งให้“พระอาจารย์สมาน”มาดูแลทั้ง “2 วัดราษฎร์เล็กๆ”นี้แทน .. ด้วยว่า “หลวงพ่อสมาน”เป็นแคนดิเดตคนหนึ่งที่จะได้ชิงตำแหน่ง “เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่” รูปต่อไป แต่ด้วยติดที่ว่า วัดท่าตอน แม้จะเป็นพระอารามหลวง แต่อยู่ใน อ.แม่อาย ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ เกือบ 200 กม. ครั้นได้ปกครองสงฆ์ในตังหวัดจริงๆ ก็ติดปัญหาเรื่องระยะทาง จึง “สมคบคิด” วางแผนหาอารามให้ “หลวงพ่อสมาน” อาศัยในเขตเมือง .. และก็มีชื่อ“เจ้าคุณพายัพ”แห่งวัดพระธาตุดอยสะเก็ด เป็นแคนดิเดต ในตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดฯเสียด้วยสิ มิน่าถึงออกมาออกตัวให้ “หม่องนิมิต ศิษย์หลวงพ่อสมาน” ก็ด้วยผูกเสี่ยวกันไว้ล่วงหน้าแล้วนี่เอง .. ถือเป็นอีกเหตุการณ์ที่สะท้อนว่า “การเมืองเรื่องของพระ” ก็ทำได้ทุกอย่าง เพื่อช่วงชิง “ยศฐาบรรดาศักดิ์” เองวังก็ด้วยประการฉะนี้

** ระบบเตือนภัยเมื่อภัยถึงตัว!! “ฝนห่าเดียว” ทำเมืองกรุงจมบาดาล ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปกับคำว่า “ระบบเตือนภัยอุทกภัยล่วงหน้า” ไปเท่าไรแล้ว ได้มาแค่ระบบตัวใครตัวมัน

ยังไม่ทันขาดคำ วันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ที่วันนี้อยู่ในสังกัด“กระทรวงดีอี”ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพิ่งออกมาโต้ “ข่าวลือ” ว่ามีพายุจ่อเข้าไทย 3 ลูกซ้อนว่าไม่เป็นจริง .. พร้อมการันตีความแม่นยำของกรมอุตุฯ ด้วยว่า มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ช่วงวันที่ 12 - 14 ต.ค. 60 ไม่มีพายุก่อตัวขึ้นแต่อย่างใด ส่วน“ภาคกลาง - กรุงเทพฯ และปริมณฑล”จะมีร่องมรสุมพาดผ่าน ทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง .. คำพยากรณ์ของท่านอธิบดีฯ ก็แม่นในระดับนึง แต่ไม่แม่นพอที่จะ “เตือนภัยล่วงหน้า” ให้ประชาชนเตรียมรับมือกับปริมาณน้ำที่ท่วมฉับพลันได้ .. ก็ถัดจากที่ท่านให้ข่าวแค่วันเดียว พื้นที่ กทม. ไม่ว่าจะในเมือง นอกเมือง เขตชายขอบ ก็ต้อง “จมบาดาล” เมื่อเจอฝนตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืน .. บางจุดท่วมขังสูงกว่า 60 เซนฯ รถยนต์จอดเสียเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วง 5 แยกลาดพร้าว ที่ทำให้ภาพความหลัง “น้ำท่วมใหญ่ปี 54” กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง .. สอดรับกับ “ข่าวลือ - ข่าวปล่อย” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ตามโซเชียลต่างๆ ว่า “น้องน้ำ” ปีนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วงเหมือนเมื่อ 6 ปีก่อน พร้อมกับกระแสข่าวว่า จะมีการระบายน้ำระลอกใหญ่ จากเขื่อนภูมิพล-เขื่อนสิริกิติ์ อีกด้วย ทำเอาคนไทยขนหัวลุกไปตามๆ กัน .. แม้ว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้ง กรมอุตุฯในเรื่องของมรสุม พายุฝน กรมชลประทาน ในส่วนของปริมาณน้ำสะสม หรือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในเรื่องการระบายน้ำออกจากเขื่อนหลัก จะดาหน้าออกมาปฏิเสธ “ข่าวลือ - ข่าวปล่อย” กันอย่างพร้อมเพรียง .. โดยเฉพาะ กรมอุตุฯ ที่เน้นเหลือเกินว่า ให้ติดตามข้อมูลการพยากรณ์อากาศและการแจ้งเตือนภัยจาก “หน่วยราชการ” เท่านั้น อย่าตระหนกกับข้อมูลที่ส่งต่อกันตามสื่อโซเชียลต่างๆ .. ถึงขนาดที่ สงกรานต์ อักษร รองอธิบดีกรมอุตุฯ ขู่ฟ่อประมาณว่า อาจจะฟ้องดำเนินคดีคนที่ออกมาเตือนแข่งกับหน่วยงานราชการเสียอีก .. โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเองที่ “คำพยากรณ์ - คำเตือน” ที่ออกมาจาก “กรมอุตุฯ”หรือหน่วยงานอื่นๆ ไม่อาจทำให้คนไทยเบาใจลงได้ มีอย่างที่ไหน “ฝนห่าเดียว” ยังทำเมืองกรุงจมบาดาล โดยไร้คำเตือนล่วงหน้าจากหน่วยงานราชการ .. ทั้งที่หลังน้ำท่วมปี 54 ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหมดงบประมาณแผ่นดินไปกับคำว่า “ระบบเตือนภัยอุทกภัยล่วงหน้า” มาเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว สรุปได้มาแค่ “ระบบเตือนภัยเมื่อภัยถึงตัว” แบบนี้ก็ตัวใครตัวมัน

**เจ้าที่เก่ายังแรง!! “บิ๊กหยม” ผู้การนครบาลคนใหม่เจอลองของ ลูกน้องตีมึนตั้งด่านจับจราจร - แจกใบสั่ง ทั้งที่ลั่นวาจาเป็นนโยบายแรกไปแล้ว จนต้องทำหนังสือด่วน ย้ำไปอีกรอบ สงสัย “ตำรวจ น.” หลงยุคนึกว่า ผบช.น. คนเก่ายังสั่งแก้ปัญหาปากท้องได้อยู่

เปิดตัวเป็น “ผู้การนครบาล” คนใหม่ กับนโยบายกวดขันแก้ปัญหาจราจร “บิ๊กหยม” พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช รักษาราชการแทน (รรท.) ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) “แก้ที่ต้นเหตุ” มีคำสั่งถึง “ตำรวจ บช.น.” ทุกนาย ให้ “งดเว้นการตั้งด่านตรวจจราจร”ส่วน “ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์” ตั้งได้ แต่ต้องตรวจค้นอาวุธปืน - ยาเสพติด ควบคู่ไปด้วย .. แน่นอน เรื่องการห้ามตั้งด่านจราจร ย่อมได้รับดอกไม้ แลคำชมจากผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างถล่มทลาย ส่วนใหญ่เห็นตรงกับ “ท่านผู้การฯ” ว่า แทนที่จะสร้างประโยชน์กลับเป็นสาเหตุให้การจราจรติดซะเอง แต่ไม่ทันไรก็เห็นว่ามี“ตำรวจ น.”บางคน“กระด้างกระเดื่อง”ไม่ปฏิบัติตาม ลักไก่ตั้ง “ด่านจราจร” เขียนใบสั่งแจกเป็นใบปลิว ก่อนเรื่องจะมาถึงหู “บิ๊กหยม” เลยได้ทีออกไปตรวจเอง ก็พบว่าโซนฝั่งธนบุรี ราชพฤกษ์ พุทธมณฑลสาย 1 ยังซุ่มตั้งด่านกันอยู่ .. กลับมาเลยต้องออกหนังสือด่วน ถึงรอง ผบช.น. ผบก.น.1 - 9 ผบก.จร. ย้ำวาจาที่ลั่นไปเมื่อวันแรกที่รับตำแหน่งว่า “สั่งการให้งดเว้นการตั้งจุดกวดขันวินัยจราจรอย่างเด็ดขาด” แต่ให้เข้มงวดกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมายจราจร “แบบซึ่งหน้า” แทน .. แว่วว่า ที่ “ลูกน้อง” กล้า “ลองของ - ท้าทาย” นโยบายแรกของ บช.น. คนใหม่ ก็เพราะคง “หลงยุค” คิดว่าลูกพี่เก่า “บิ๊กแป๊ะเล็ก” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีต ผบช.น. ยังอยู่ในตำแหน่งกระมัง .. ก็คุ้นๆ ว่า “ผู้การนครบาลคนเก่า” ก็เคยประกาศคล้ายๆ “บิ๊กหยม” ในช่วงแรก แต่ผ่านไปไม่นาน “ด่านจราจร” ก็กลับมาระบาดทั่วกรุง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนแซวกันว่าคงเป็น “นโยบายแก้ปัญหาปากท้อง” ของทาง บช.น. ในยุคนั้น .. มายุคใหม่ก็ฝากให้ “บิ๊กหยม” ประคองนโยบายนี้ไปให้รอดจนหมดสมัยด้วยเถิด

ช.ชฎา
กำลังโหลดความคิดเห็น