ประธาน กสม.เผยเห็นชอบส่งชื่อบุคคลใหม่ร่วมนั่ง กก.สรรหา กกต. เชื่อคุณสมบัติครบถ้วน ระบุไม่ติดเงื่อนไขพ้นกรอบ 20 วัน เหตุการเสนอชื่อรอบแรกถือเป็นองค์คณะแล้ว มอง กม.ลูกเขียนสเปกกก.สรรหาเกิน รธน. หวั่นถูกยื่นศาล รธน.วินิจฉัย อาจส่งผลกระบวนการสรรหาต้องเสียไป
วันนี้ (11 ต.ค.) นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กสม.เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาได้เห็นชอบเสนอรายชื่อบุคคลไปทำหน้าที่ร่วมเป็นกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามที่สำนักเลขาธิการวุฒิสภาได้มีหนังสือแจ้งให้เสนอชื่อบุคคลใหม่อีกครั้ง เนื่องจากบุคคลที่ทาง กสม.ส่งไปครั้งแรกนั้นขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่ง โดยบุคคลใหม่ที่จะเสนอไปที่ประชุม กสม.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าน่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. มาตรา 11 (4) ประกอบมาตรา 8 กำหนด คือ เคยรับราชการ ไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งก็จะเสนอรายชื่อดังกล่าวไปยังสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ก่อนที่คณะกรรมการสรรหา กกต.ที่มีนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานจะได้มีการนัดที่ 2 ในวันที่ 18 ต.ค.
ส่วนที่มีข้อท้วงติงว่าขณะนี้พ้นห้วงเวลา 20 วันตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. มาตรา 11 วรรคสาม ที่ กสม.จะเสนอรายชื่อกรรมการสรรหาคนใหม่ได้ นายวัสกล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการสรรหานัดแรกเมื่อวันที่ 6 ต.ค. บุคคลซึ่ง กสม.แต่งตั้งไปได้เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาได้พิจารณาแล้วว่าทั้งหมดเป็นกรรมการสรรหา แต่เมื่อมาพิจารณาคุณสมบัติเห็นว่าบุคคลที่ กสม.แต่งตั้งไปนั้นขาดคุณสมบัติ จึงให้สำนักเลขาธิการวุฒิสภามีหนังสือแจ้งมาให้แต่งตั้งบุคคลไปใหม่ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการสรรหาพิจารณาในครั้งแรกไปแล้วว่าทั้งหมดเป็นกรรมการสรรหา การพ้นระยะเวลา 20 วันจึงไม่เอาใช้กับการที่ กสม.จะเสนอชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนไปใหม่
อย่างไรก็ตาม นายวัส เห็นว่า การที่กรธ.นำคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นกรรมการองค์กรอิสระมาบัญญัติไว้เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่จะมาเป็นกรรมการสรรหา กกต.ตามม พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. มาตรา 11 (4) ประกอบมาตรา 8 นั้นเป็นการเขียนเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งไม่เพียงทำให้การสรรหาบุคคลเพื่อไปทำหน้าที่กรรมการสรรหาของแต่องค์กรอิสระค่อนข้างยาก แต่หากในอนาคตมีผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับความเสียหายจากการไม่รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหา ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลฯ มีคำวินิจฉัยออกมาว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจนอาจมีผลให้กระบวนการสรรหาเสียไปก็ต้องมาพิจารณาใครจะเป็นรับผิดชอบ