xs
xsm
sm
md
lg

หลังตุลาฯเขย่า “โละตัวถ่วง” ก่อนสู่โหมดเลือกตั้งปี 61!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา

ก็เป็นที่ชัดเจนจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ประกาศข้ามทวีปจากสหรัฐอเมริกา ให้ต่างประเทศและคนไทยได้รับรู้กันว่า จะกำหนดวันเลือกตั้งในปี 2561 ทุกอย่างเดินไปตามโรดแมปไม่มีการเลื่อนอย่างเด็ดขาด

โดยขยายความว่า กระบวนการเลือกตั้งจะเริ่มขึ้นหลังจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่สำคัญ 4 ฉบับ ประกาศใช้ ให้นับเวลาจากนั้นไปอีก 150 วัน ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด กำหนดวันเลือกตั้งก็จะมีการประกาศออกมาในปลายปีหน้า “ย้ำว่าปลายปี 2561 คือ กำหนดวันเลือกตั้งว่าเป็นวันไหน” ไม่ใช่ยืนยันว่ามีการเลือกตั้งปี 61 อย่างที่เริ่มเข้าใจกัน
        
  ดังนั้น การเลือกตั้งเป็นวันไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายลูกที่จะออกมาด้วย และต้องเผื่อ “ลูกเล่น” ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่อาจตีตกกฎหมายดังกล่าวทั้งหมด หรือสักฉบับสองฉบับหรือไม่ เพราะหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง มันก็เสี่ยงต่อการยืดเวลาออกไป ซึ่งนั่นเท่ากับว่า มาจากสาเหตุ “ขาใหญ่” ส่งสัญญาณลงมา เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยมีกรณีที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ร่างโดย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขาถึงกับหลุดปากออกมาในภายหลังว่า “คสช. ต้องการอยู่ยาว” นั่นแหละ

อย่างไรก็ดี มาถึงนาทีนี้มันเลยเรื่องตุกติกกันไปแล้ว หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ไปประกาศที่สหรัฐอเมริกา และพูดยืนยันต่อหน้าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไปแล้ว นั่นคือ ต้องประกาศวันเลือกตั้งในปีหน้า ส่วนจะเป็นวันไหนนั้น ตามตารางเวลาก็น่าจะเป็นปลายปี 2561 หรืออย่างช้า ก็ต้นปี 2562 นั่นแหละ ถ้าผิดไปจากนี้รับรอง “เละ” ซึ่งคนที่เละ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นั่นแหละ

เอาเป็นว่า สรุปก็คือเวลาเลือกตั้งมีแน่ และใกล้เข้ามาแล้ว หากนับจากตอนนี้ก็น่าจะยังเหลือเวลาอีกประมาณอีกปีเศษ ซึ่งถือว่า “เหลือเวลาน้อยมาก” สำหรับระยะเวลาบริหารราชการบ้านเมือง โดยเฉพาะสำหรับรัฐบาลที่ต้องการเร่งสร้างผลงานให้ติดตาชาวบ้านในช่วงปลาย
         
  ขณะเดียวกัน เมื่อ “หักมุม” มาพิจารณาถึงผลงานของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ รัฐบาลทหาร คสช. ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า “ยังไม่มีอะไรน่าประทับใจ” นัก พูดง่ายๆ ก็คือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งเรื่องหลัก เรื่องรอง เช่น เรื่องการปฏิรูปที่เป็นความคาดหวังสูงยิ่งของชาวบ้านมาตั้งแต่แรกเริ่ม มาถึงตอนนี้ก็เงียบเชียบ ไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหว ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มตั้งคณะกรรมการ หรือการปฏิรูปตำรวจที่ประชุมกันมาได้สองสามเดือนแล้ว แต่ก็มีแนวโน้มเข้าอีหรอบเดิมว่ามีแนวโน้มว่า “เป็นการปฏิรูปเพื่อตำรวจ” แทนที่จะเป็น “การปฏิรูปเพื่อชาวบ้าน” สังเกตได้จากเสียงวิจารณ์ของพวกองค์กรภาคประชาชน ที่เฝ้าจับตาดูอยู่ต่างให้คะแนนแค่ 0 หรือ 1 จากคะแนนเต็ม 10

เรื่องเศรษฐกิจปากท้องก็ยังถูกวิจารณ์ในทางลบมากขึ้น แม้ว่าในระยะหลังในช่วงไตรมาสที่สองเป็นต้นมา อัตราการขยายตัว การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเป็นผลมาจากการส่งออกที่โตพรวดผิดความคาดหมาย การท่องเที่ยวที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการประเมินผลของจีดีพีกันใหม่ จากเดิมที่เคยคาดกันว่าไม่น่าจะเกินร้อยละ 3.5 มาถึงตอนนี้น่าจะมีลุ้นว่าจะโตไปถึงร้อยละ 4 กันเลยทีเดียว แต่ก็นั่นแหละ ก็มีเสียงบ่นว่าชาวบ้านยังไม่ได้ประโยชน์ เพราะเศรษฐกิจโตกระจุกอยู่แค่กับคนรวยไม่กี่ตระกูล ส่วนชาวบ้านรากหญ้า ยังจนกรอบหนักกว่าเดิม

แต่ถึงอย่างไรในเมื่อมันเติบโตมันก็ยังดีกว่าถอยหลัง เพราะต้องตกไปถึงชาวบ้านบ้างแหละน่า และที่ผ่านมา หัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยยอมรับว่า ที่ผ่านมา ยังมีปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำ ก็ย้ำว่าเมื่อ “วงล้อ” เริ่มหมุนแล้วมันก็ต้องมีการบริหารจัดการกันให้เป็นระบบ ซึ่งหน่วยงานของรัฐต้องร่วมมือผนึกกำลังกันเพื่อให้การกระจายเศรษฐกิจไปสู่ชุมชน ให้น้ำหนักความสมดุลทั้งการส่งออก และการส่งเสริมการจับจ่ายเศรษฐกิจภายใน

กรณีบัตรผู้มีรายได้น้อย หรือ “บัตรคนจน” ที่กำลังเริ่มมีการจับจ่ายกันอย่างคึกคักทั่วประเทศ นี่อาจเป็น “ทีเด็ด” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นได้ เพราะเป็นการส่งเสริมการจับจ่าย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในคราวเดียวกันพร้อมๆ กันหลายรอบ เป็นการช่วยถึงมือคนจนแบบเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่การหว่านเหมือนในอดีต แม้ว่าหากแยกออกมาแต่ละคนที่ใช้บัตรรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค อาจมีจำนวนน้อยแค่ไม่เกิน 300 บาทต่อคน แต่เมื่อรวมแล้วจำนวน 14 ล้านคน ตามที่ผ่านเกณฑ์ จำนวนเงินก็ไม่ใช่น้อย และยังไม่รวมเรื่องการอุดหนุนการใช้หุงต้ม น้ำไฟฟรี การเดินทาง ซึ่งก็ถือเป็นการจับจ่ายกันโดยตรง และทันที

ขณะเดียวกัน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวบ้านคนยากจนได้จริง แม้ว่าจำนวนเท่านี้คนหลายคนอาจมองว่าน้อย แต่สำหรับพวกเขามันก็พอประทังชีวิตได้ และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ บัตรคนจนกลายเป็นผลงานที่ชาวบ้านคนจนชื่นชอบ ก็ต้องติดตามกันไป

อย่างไรก็ดี ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหลังก็มีเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่องประดังเข้ามากระแทกใส่รัฐบาลคสช. จังๆ จนแทบเซไปเหมือนกัน ล่าสุด ที่หากเบรกไม่ทันกรณีมีการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำในสภานิติบัญญัติ ที่กำลังถูกขยายความกำลังจะมีการเจ็บภาษีการใช้น้ำจากชาวนา ลามเป็นไฟกลางทุ่ง ยังดีที่มีการประสานเสียงปฏิเสธ เรียกว่าเกือบพัง

เอาเป็นว่าสรุปกันแบบรวบรัดตัดความ หากพิจารณาจากระยะเวลาและผลงานที่เป็นอยู่ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า รัฐบาลเริ่มเข้าขั้น “หนัก” ขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหางานเข็ญไม่ไป ส่วนสำคัญ “ตัวถ่วง” ล้วนมาจาก “คนใกล้ตัว” ที่หอบหิ้วให้รางวัลกันในกลุ่มเพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพนั่นแหละ ดังนั้น หากจะขยับก็พอมองเห็นในหลายกระทรวงเหมือนกัน ที่ต้องโฟกัสก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องบอกตรงๆ ว่า ในยุคของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ไม่น่าประทับใจ ไม่ต่างจากมหาดไทยของ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และกระทรวงแรงงาน ที่ยังไม่เวิร์ก 
       
   ดังนั้น หากบอกว่า ถึงเวลาที่จะต้องเขย่าสลัด “ตัวถ่วง” ออกไป เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ลื่นในเวลาที่เหลือจำกัด รวมไปถึงหากคิดอยู่ยาวในโรดแมป “ภาคสอง” หลังเลือกตั้ง ส่วนจะเป็นช่วงไหนที่เหมาะแต่หากให้คาดเดา ถ้าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริง ก็น่าจะหลังเดือนตุลาคมไปแล้ว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น