xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯวอนวิจารณ์ ป.ย.ป.อย่างมีเหตุผล - เตือนสื่อโซเชียลหาข้อมูลให้ดีก่อนนำเสนอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ติงสื่อโซเชียลหาข้อมูลให้ดีก่อนนำเสนอ หวั่นข้อมูลบิดเบือนสร้างขัดแย้ง วอนวิจารณ์การทำงาน ป.ย.ป. ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ติติงโดยไร้เหตุผล เตือนสาวเที่ยววันวาเลนไทน์อย่างระวัง เพราะคนไม่ดีเยอะ

วันนี้ (10 ก.พ.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ในวันนี้ทุกคนคงรับรู้แล้วว่าสื่อโซเชียลนั้นมีอิทธิพลสูง และแพร่กระจายออกไปได้กว้างขวาง ทั้งในสังคมไทยและโลกอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าว หรือสร้างข่าวได้เอง ผู้คนสามารถเสพข้อมูล รับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้รวดเร็วเป็นวินาที หรือเสี้ยวนาที สิ่งที่เป็นอันตรายมากที่สุด ก็คือ การสร้างการรับรู้ที่ผิดๆ บิดเบือนไป โดยไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งเราไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว จะยากขึ้นเรื่อยๆ ใครพูดก่อน ใครเขียนก่อนก็ได้ก่อน ทำนองนั้น บางอย่างนี่ผิด แล้วก็สร้างการรับรู้ผิดๆ ไปแล้ว คนก็เชื่อไปแล้วอันนี้มีปัญหา เมื่อออกไปสู่สังคมโลกแล้วนั้นก็เสียไปทั้งตัวเอง ทั้งประเทศชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวมก็หายไป ผมขอความร่วมมือให้ทุกคนทุกภาคส่วนได้พึงระลึก แล้วก็แจ้งเตือนกันช่วยกันทำความเข้าใจ หาข้อมูลให้ดี รัฐบาลก็พร้อมจะตอบคำถาม ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นใดที่เป็นความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เพื่อผมหวังแต่ว่าให้สถานการณ์สงบ ไม่วุ่นวาย เราจะได้ใช้เวลาในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือแก้ปัญหาภายใน ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่นๆ ให้ได้รับแก้ไขด้วยคนไทยด้วยกันเอง เราก็ไม่อยากให้ใครมาช่วยเรา หรือทำแทนเราได้ ที่เขาเรียกว่า ยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ เป็นหลักการว่าเราต้องแก้ไข ทำความเข้าใจกันเองให้ได้นะครับ มีความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งโดยนิตินัย และพฤตินัย ที่สำคัญก็คือเราจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนืออธิปไตยของชาติไทยเราได้อีกด้วย เราต้องมีหลักคิด

นายกฯ กล่าวอีกว่า ในทุกกิจกรรม ทุกกลุ่มงาน ทุกกระทรวง ต้องคิดตามด้วย ทำงานด้วยการทำงานเชิงรุก ด้วยวิสัยทัศน์ ด้วยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อจะให้ทุกภาคนั้นได้มีการเจริญเติบโตด้วยตนเองในทุกมิติ ลดการผลิต ลดการตลาด ที่มีการแข่งขัน หรือมีการผลิตที่ซ้ำซ้อน แล้วเราก็ไม่ผลิต หรือสร้างอะไรที่เกินความจำเป็นนะครับ คือ เรียกว่ากำหนด Demand Supply ให้ต้องกัน ให้สอดรับกันอย่างแท้จริงในทุกมิติ หลายท่าน ก็อาจจะฝากความ หวังไว้กับการทำงานของ ป.ย.ป. ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหม่ จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดิม แต่ผมก็ดีใจ ที่ทุกคนให้ความสนใจ แล้วก็ทำให้มีกำลังใจในการทำงานของรัฐบาลขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่อยากให้เข้าใจว่า คำว่า ป.ย.ป. หรือคณะกรรมการ 3 - 4 คณะนั้นเป็น ยาวิเศษ ที่รักษาทุกโรคได้ ทันที ทันใจ เพราะ ป.ย.ป. นั้นก็ถือว่าเป็นการปรับปรุงพัฒนารูปแบบในการทำงานของรัฐบาล และ คสช. ผมก็คิดหาเครื่องมือในการทำงานใหม่ๆ เพื่อลดจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง เพิ่มศักยภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ทันต่อเวลา และสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็จำเป็นต้องมีฐานข้อมูล เพื่อจะบ่งชี้ปัญหา แสวงหาวิธีการแก้ไข ทั้งในเชิงลึก และยั่งยืน เพราะว่ากลไกในการแก้ปัญหาประเทศ นั้นก็อยู่ที่รัฐ จะต้องกำกับดูแล ขับเคลื่อนส่วนราชการต่างๆ โดย ครม. และส่งตรงไปยังส่วนราชการ ถึงประชาชน ผมก็ดูแล้วว่า ปัจจุบันนั้น ในสถานการณ์ที่เราต้องมีการปฏิรูปนั้นยังไม่เพียงพอ ไม่เร็วพอ ผมก็เลยคิดเริ่มแก้ไขด้วยการมี กขป. 6 คณะ ในช่วงที่ผ่านมา แล้วให้คำนึงถึงการบูรณาการการปฏิรูปอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานปฏิรูปมีการส่งต่อกันอย่างต่อเนื่อง และมีผลเป็นรูปธรรมเร็วขึ้นจากในห้วงที่ผ่านมาที่ขับเคลื่อนด้วย กขป.

วันนี้เราจะต้องสร้างเครื่องมือมาชุดหนึ่งที่ว่า ก็คือ ป.ย.ป. และอีกคณะหนึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับอีกคณะหนึ่ง เพราะทั้งหมดคือเราตั้งโจทย์มา เรามีวีธีการ เรากำหนดระยะเวลาที่จะต้องทำในแต่ละเรื่อง ทั้งหมดมันจะส่งต่อกันกลับเข้ามาที่ของเดิม ที่ ครม. คสช. กขป. มันก็นำมาผลิต นำมาขับเคลื่อน นำมาปฏิบัติ เพราะว่าทุกวันนี้รัฐบาลก็ไม่ได้หยุดในการทำงานในการบริหารแผ่นดิน ในกล่องเดิม ก็คือ กขป. ขับเคลื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ก็มีกล่องอีกกล่องหนึ่งขึ้นมา อะไรที่เร่งด่วนก็ไปเอาคณะหนึ่ง อะไรที่เรื่องปรองดอง ในเรื่องเศรษฐกิจสังคมที่ขัดแย้งอะไรต่างๆก็แล้วแต่ก็ไปแก้กันในกล่องนั้น แต่ทั้งหมดผลผลิตออกมา มาที่ ป.ย.ป. ซึ่ง ป.ย.ป. ก็คือ รัฐบาล แล้วก็ลงมาทางซ้ายเหมือนเดิม ให้ไปทำงานให้ครบ ที่ผ่านมา หลายคนก็ไม่เข้าใจว่า ทำอะไรไปบ้างแล้ว มีแต่ สปท. ออกมาพูด อะไรก็แล้วแต่ ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ทำงาน จริงๆ มันทำแล้ว วันนี้ก็ไปรวบรวมมาเพิ่มเติมอีก อันนี้ทำเสร็จแล้วนะ อันนี้ก็ไปเอามาเพิ่ม ตรงกันหรือยัง บางอย่างตรงกัน แต่บางทีก็รู้ไม่ทั่วกัน เพราะว่าฝ่ายคิดก็คิด คิดถึงหลักการและเหตุผล แต่ไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไร วิธีการ แต่รัฐบาลต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาขับเคลื่อน เพราะรัฐบาลต้องไปคิดวิธีการมา วันนี้ก็จะเอาวิธีการเหล่านี้ ให้เขารู้ด้วย ไม่งั้นไอ้คนคิดก็คือคนคิด ไอ้คนทำก็คือคนทำ มันก็ไปด้วยกันไม่ได้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งมันก็มี มีทั้งผู้หวังดี หวังไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็ทำให้หลายอย่างหยุดชะงักไป ก็ขอเพียงความเข้าใจ ขอให้ทุกคนที่คิดว่าน่าจะดีกับประเทศชาติ ก็ขอความร่วมมือ ใครที่คิดว่าไม่ตรงตัวเอง ก็กรุณาเสนอความคิดเห็นให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ไปติติงโดยไม่มีหลักการและเหตุผล ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ มันทำให้สังคมไม่เข้าใจ และสับสนอลหม่านวุ่นวายไปเหมือนเดิมๆ ที่ผ่านมา ขอร้อง

เพราะฉะนั้นผมก็ขอเน้นย้ำอีกครั้ง ว่า การที่เราจะเอาชนะต่ออุปสรรคต่างๆ ของประเทศ ที่เรียกว่ากับดัก อะไรก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่มันก็เกิดจากปัญหาในเชิงนโยบาย เชิงโครงสร้าง เราต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือ คือ หลายอย่างนั้นจะต้องคลี่ออกมาให้หมด ปัญหาของประเทศไทยมีไม่กี่เรื่อง เรื่องแรกก็คือ คำว่าประชาธิปไตย มันเป็นอย่างไร กับอนาธิปไตยมันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำความเข้าใจว่ามันควรจะเป็นอย่างไร อันที่สองก็คือในเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเป็นธรรมในเรื่องของเศรษฐกิจและสังคม อันที่สามคือ การศึกษา ที่ต้องสร้างหลักคิด และทำให้คนนั้น รู้จักคิดในสิ่งที่ดี ทำความดี มีจิตสำนึกที่ดี

นายกฯ กล่าวปิดท้ายว่า ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วก็เป็นวันแห่งความรัก ขอให้คนไทยรักกันมากๆ ด้วย ระมัดระวังตัวเอง ผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวอะไรต่างๆ ต้องระมัดระวังเพราะว่าวันนี้ก็อย่างที่บอกไปแล้ว บ้านเมืองมีคนไม่ดีอยู่มากมาย แต่ต้องช่วยขจัดคนไม่ดีแล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้คนไม่ดีได้มาทำอะไรที่เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติกับตนเอง กับครอบครัวด้วย ขอให้ทุกคนรักกันมากๆ มากขึ้นไป

คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันที่ 10 ก.พ.


สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่ได้มาพูดคุยกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ผมมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง ก่อนอื่นผมอยากจะน้อมนำอีกหนึ่งในศาสตร์พระราชามาเล่าสู่กันฟังนะครับ โลกวันนี้นั้นเต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ ความสับสนอลหม่าน

เพราะฉะนั้นใครที่ขาดสติ ก็อาจถูกกิเลสครอบงำโดยง่าย ขาดภูมิคุ้มกัน เพราะงั้นมนุษย์เราควรจะมีหลักธรรมคำสอนทางศาสนา เป็นเครื่องนำทาง เพื่อจะใช้เป็นเกราะป้องกันตัว เป็นภูมิคุ้มกันอยู่เสมอ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ได้ทรงเห็นถึงภัยเงียบต่างๆ เหล่านี้ แล้วก็ได้ให้แนวทางพระราชทาน ในการที่จะสร้างเกราะป้องกันตนเอง ป้องกันครอบครัว ป้องกันสังคม ด้วยคำว่าบวรที่มาจากคำว่า บ้าน วัด โรงเรียน ที่เป็นการเชื่อมโยง 3 สถาบันหลักของไทย เพื่อนำมาใช้ในการเอาชนะมลพิษทางจิตใจ และสร้างความเข้มแข็งให้กับคนในชาติ และชุมชน ตั้งแต่ระดับฐานรากขึ้นมาเลยนะครับ พ่อแม่พี่น้องครับ ส่วนตัวของผมก้เชื่อว่าศาสตร์พระราชานี้ก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างชาติ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งก็คือประชาชนทุกคนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมมีจิตใจที่สูงที่จะช่วยให้การแก้ปัญหาต่างๆ ของสังคมได้ลุเลาเบาบางลง และเปลี่ยนหนักให้เป็นเบาได้

และในวันพรุ่งนี้ 11 กุมภาพันธ์ เป็นวันมาฆบูชา ผมอยากให้พวกเราคนไทยทุกคน โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ที่ยึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ในการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ เหมือนที่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงปกครองบ้านเมือง โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา สำหรับสามัญชนอย่างเราๆ ท่านๆ นั้นผมขอให้ยึดหลักธรรมสำคัญ อันเป็นหัวใจ เป็นแก่นแท้ทางศาสนาพุทธอยู่ 3 ประการ ก็คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เพียงเท่านี้สังคมของเราบ้านเมืองของเราก็จะเป็นปกติสุข สิ่งที่เคยเป็นปัญหาในบ้านเมืองเรามาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กปัญหาใหญ่ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปนะครับ

พี่น้องประชาชนครับ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีเรื่องที่เป็นสิริมงคล มีความ สำคัญกับปวงชนชาวไทยอยู่ 2 ประการด้วยกัน ซึ่งผมจะขอนำมากล่าวย้ำในวันนี้อีกครั้ง เรื่องแรกก็คือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพพยวรางกูร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้ วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เป็นวันชาติ และเป็น วันพ่อแห่งชาติอีกด้วย

ทั้งนี้ ก็เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานต่อประเทศชาติ และประชาชนของพระองค์เสมอมา นอกจากนั้น ท่านทราบไหมครับว่าวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีมีความสำคัญกับชาวโลกอย่างไร ผมจะขอให้ทุกท่านได้ภูมิใจว่าสำนักงานใหญ่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันดินโลก

ทั้งนี้ เพื่อให้โลกได้ตระหนักว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนประสบผลสำเร็จ สร้างคุณประโยชน์ทั้งแก่ชาวไทยและชาวโลกอย่างกว้างขวางสมกับพระนามภูมิพลของพระองค์ท่านนะครับ ที่แปลว่ากำลังของแผ่นดิน

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ ขึ้นเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยในหลวงรัชกาลที่ 10 จะเสด็จฯ ทรงประกอบพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช ด้วยพระองค์เองในวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 17.00 นาฬิกา ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผมก็หวังว่าเรื่องราวทั้งสองเรื่องนี้จะเป็นสิริมงคล เกี่ยวกับสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นี้ ซึ่งจะช่วยทำนุบำรุงขวัญและกำลังใจให้กับคนไทยทั้งชาติ และเราก็ถือเป็นพลังอำนาจของชาติที่ไม่มีตัวตนแต่ก็กลับมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าพลังอำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่า หากพลังเหล่านี้ซึ่งเป็นพลังทางสังคมที่อาจจะจับต้องไม่ได้ทางกายภาพนะครับ มีความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นปรองดองสมัครสมานสามัคคีกันแล้ว ไม่ว่าจะเกิดภัยน้อยใหญ่ หรือภัยจากภายนอกภายในก็ไม่อาจจะไม่สามารถทำอันตรายบ้านเมืองของเราได้นะครับ

ผมอยากฝากประชาชนช่วยคิดว่า เราจะแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองของเรา ได้อย่างไรนะครับ เราก็ควรจะต้องมีหลักคิดนะครับ ไม่ใช่คิดอย่างเดียว ต้องมีหลักคิดในเรื่องประชาธิปไตยเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เราจะคิดกันได้อย่างไร ต้องมีหลักการและเหตุผล แล้วก็ทำอย่างไรการศึกษาของเรานั้นจึงจะสอนให้คนของเราคิดเป็น คิดโดยใช้หลักการคิดที่ถูกต้องนะครับ ไม่ใช่เฉพาะคิดเป็น อาจจะคิดเป็นแต่คิดไม่ดีก็ได้ เพราะงั้นต้องมีหลักการคิดที่ถูกต้องเจตนาก็เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดี และได้ปฏิบัติตนตามความคิดที่ดีเพื่อประโยชน์ เพื่อชาติบ้านเมือง และของตนเองด้วยนะครับ อันนี้ก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าให้นายกรัฐมนตรี รัฐบาล คิดแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ แล้วก็ประเด็นสำคัญก็คือว่า แล้วเราจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์จากการคิดร่วมกัน ด้วยหลักการเดียวกันนั้นได้อย่างไร โดยไม่เพียงเฉพาะคาดหวังกดดันรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ประเทศไทยในวันนี้ ถ้าเราเปรียบเทียบกับคนทั่วไป ก็ไม่ต่างไปจากเราเป็นคนป่วย อาจจะเบาลงแล้ว โรคที่เราป่วยมาก อาจจะป่วยน้อย วันนี้เราก็มีการ กินยาควบคุมอาการเอาไว้ด้วยนะครับ เสริมด้วยการให้วิตามิน สร้างความเข้มแข็งไปเรื่อย ๆ เพราะงั้นถ้าเราต้องระมัดระวัง ขาดยาเมื่อไหร่ โรคต่างๆ เหล่านั้นจะกำเริบ ถ้าเราแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ นับวันถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าอาการป่วยที่ว่านั้น ในสังคมเราก็เห็นทุกวันนะครับ เห็นได้จากในเรื่องของการใช้ ความรุนแรง ทั้งในครอบครัว สถานศึกษาในสังคม การทุจริต การแพร่ระบาดยาเสพติดเหล่านี้เป็นต้นนะครับ อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันเราแยกออกได้ยาก ทำให้เกิดสังคมที่ไม่เป็นสุข เกิดเด็กแว้น เกิดวัยรุ่นตีกัน นักศึกษาตีกัน ระเบิดอารมณ์ใส่กันกลางถนน ลักเล็กขโมยน้อย จี้ปล้น อาชญากรรมทุกวัน ที่เห็นอยู่นี้เป็นอาการเรื้อรัง ก็เป็นมาโดยตลอด ลองคิดตามผมดูว่าพวกเราทุกคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอปัญหาหรือไม่ ถ้าเรารู้จักพอเพียงเงินรายได้ที่ไม่พอใช้ อาจไม่เป็นปัญหาสำคัญ เราเคยใช้คำพูดในโซเชียล ที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชังกันบ้างหรือไม่ เราเคยดื่มสุราจนขาดสติ อาละวาด โมโหทำร้ายร่างกายใคร หรือคนในครอบครัวหรือเปล่านะครับ สื่อสิ่งพิมพ์ของใครที่เคยเสนอสิ่งที่สร้างความขัดแย้งความไม่สงบไร้จรรยาบรรณออกสู่สายตาประชาชนมีบ้างหรือไม่

ประเด็นสำคัญ ก็คือ เราเคยทำผิดกฎหมายเคยละเมิดสิทธิผู้อื่น เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายหรือไม่ เคยเพิกเฉยต่อศีลธรรม คุณธรรมจริยธรรมบ้างหรือไม่ สิ่งต่างๆ ที่ผมกล่าวมาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งสิ้นในการรักษาอาการเรื้อรังเหล่านี้ผมอยากให้ทุกคนใช้คำสอนของศาสดาในทุกศาสนาที่ท่านเลื่อมใสศรัทธาเป็นเครื่องมือในการสร้างความยับยั้งชั่งใจให้มีสติ ปล่อย ละวาง การให้อภัยในเรื่องที่เป็นปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะบานปลายเป็นปัญหาใหญ่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนหยุดยั้งไม่ได้ กลายเป็นอนาธิปไตย ทำนองนั้น มีอีกอย่างที่อยากให้ลองยึดถือและปฏิบัติ ก็คืออย่าคิดว่าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย และเราก็ทำ อย่าเห็นว่าเป็นความดีเพียงแต่เล็กน้อยก็ไม่ทำ ให้ลองนึกถึงคนรอบข้างลองทำดีกับคนที่เราไม่รู้จัก วันละเล็กละน้อย ซึ่งก็ไม่น่าจะยาก แรกๆอาจจะยากหน่อยถ้าไม่เคยทำ แต่ถ้าหากทุกคนทำได้ ผมคิดว่าเราจะช่วยยกระดับจิตใจของเราทุกคน และสร้างความเป็นปึกแผ่นของชุมชนของเราได้เป็นอย่างดี ผมขอนำเรื่องของนายจำรัส แซ่อี้ง หรือที่เรียกว่า ลุงดำนะครับ แห่งจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเป็นตัวอย่างให้พวกเราได้ฟังกัน ลุงดำนั้นก็เป็นชาวสวนยางพาราที่ได้ปลูกต้นกล้วย 2 ฟากถนน สายนาบอน-แก้วแสน อ.นาบอน เป็นระยะทางถึงกว่า 6 กิโลเมตร ลุงดำก็ตั้งใจว่า ต้องการช่วยชีวิตผู้คนในกรณีที่เกิดรถเสียหลักตกข้างทาง เพราะต้นกล้วยที่ปลูกไว้นั้นจะช่วยลดแรงปะทะของรถยนต์ลงได้มาก

อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นลุงยังคอยดูแลตกแต่งต้นกล้วยเป็นประจำ เพื่อไม่ให้บทบังทัศนียภาพของถนน การกระทำเช่นนี้ของลุงดำ ได้ช่วยชีวิตผู้ใช้รถใช้ถนนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนั้น ลุงดำยังได้นำกล้วยมาทำเป็นกล้วยฉาบ เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่จะเดินทางไปถวายสักการะพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อแทนบุญคุณของแผ่นดิน และพระองค์ท่านอีกด้วยนะครับ ผมขอชื่นชมลุงดำ และขอยกให้เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่อง ของผู้ที่ให้ความรักและความปรารถนาดีกับคนรอบข้าง หากพวกเราคิดได้ทำได้อย่างลุงดำไม่มากก็น้อยก็ช่วยทำให้ชุมชนและประเทศชาติเข้มแข็งขึ้น พี่น้องประชาชนครับในชีวิตจริงหลายๆ เรื่อง ก็อาจทำไม่ง่ายอย่างที่คิดนะครับ แม้ในเรื่องของการครองตน ครองเรือน ยิ่งในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินนั้นก็มีทั้งการออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายนั้นด้วย หลายอย่างเราทำตามใจตนเองทั้งหมด คงไม่ได้นะครับ แม้กระทั่งผมเองเราคงจะต้องอิงกฎ กติกาสากลไว้ด้วย ดูว่าโลกเขาคิดกันอย่างไร วันนี้เขาเดินหน้าไปถึงไหน เราจะคิดขวางโลก เป็น จระเข้ขวางคลองไปทุกเรื่องก็คงไม่มีใครคบด้วยนะครับ หรือเราจะก้มหน้าใส่เสื้อโหลที่เขาตัดมาให้เบอร์เดียว แล้วก็ให้ใส่กันทั่วโลก ก็เป็นไปไม่ได้อีก เนื่องจากแต่ละประเทศก็มีประวัติศาสตร์ มีโครงสร้างสังคม อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ความเป็นมาเป็นไป เป็นของตนเองทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยนั้นก็ไม่ได้อยู่นอกกฎเกณฑ์เหล่านี้ ทุกคนก็คงจะเห็นด้วยว่า เราต้องรู้จักประยุกต์หลักการสากล มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ก็เหมือนกับไปตัดเสื้อ สั่งตัดเสื้อตามร้านซึ่งก็วัดพอดีกับตัวเราเอง คงจะทำให้เราสวมใส่อย่างสบาย ดูดีมีสง่าไม่หลวม ไม่คับ ไม่รัดจนอึดอัดน่าเกลียด ก็เช่นกัน ประเทศก็ต้องเดินหน้าไปแบบนั้น อีกอย่างหนึ่งที่ผมยึดถือมาโดยตลอดก็คือ เราทำอะไรก็ตามนั้น เราควรจะคิดถึงเรื่องการป้องกันไว้ดีกว่าแก้ การออกกฎหมายก็เช่นกัน วันนี้เราออกกฎหมายมามากมาย

เพราะฉะนั้นเราต้องไปดูซิว่ากฎหมายที่ในเชิงป้องกัน ป้องปรามนี่ มีเพียงพอหรือยัง หรือจะทำควบคู่ไปกับมาตรการลงโทษ ที่เหมาะสมได้อย่างไร อาทิเช่น กฎหมายจราจร ก็มุ่งหวังในเรื่องของการป้องกัน ความเสียหายที่จะเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของตนเองและของผู้อื่น ทั้งนี้เราก็มองเห็นว่าประชาชนทุกคน ทุกชีวิต เป็นทรัพยากรที่มีค่า มีความสำคัญต่อประเทศ เพราะงั้นการสูญเสียคน ก็คือการสูญเสียโอกาส และ พลังขับเคลื่อนของประเทศ แต่การที่เราใช้บทลงโทษที่รุนแรงมีกฎหมายมากมาย ก็ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่า เราจะห้ามสิ่งเหล่านั้นไม่ให้เกิดขึ้นได้ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ตรงไปตรงมา ไม่ละเว้นเป็นธรรม เป็นไปตามกระบวนยุติธรรมนั้น ผมเห็นว่าเป็นความสำคัญที่จะช่วยระงับเหตุได้ตั้งแต่ต้นตอ ข้าราชการทุกคนต้องพึงปฏิบัติ ประชาชนก็ต้องร่วมมือ

ศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้สอนให้เรารู้ว่า การบังคับใช้กฎหมายหมายนั้น เราต้องใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ควบคู่กันไปด้วยข้อคิดในเรื่องนี้ ก็คือว่าเราอาจจะต้องจำเป็น ต้องพิจารณานำมาปรับใช้ ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการทั้งที่สุจริต และไม่สุจริตด้วย เราจะต้องคิดหาจุดสมดุลเหล่านี้ให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแล้วก็ไม่ทำลายโอกาสในสังคม หากว่าวันนี้มีสิ่งใดที่ทำให้เกิดการติดขัด ขัดแย้ง ไม่น่า เชื่อถือ หรือถูกกล่าวหาว่า 2 มาตรฐาน สิ่งเหล่านี้เราก็ทำงานต่อไปไม่ได้ เดินหน้าไม่ได้ เราต้องช่วยกันแก้ไขให้ได้ วันนี้ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนคงพอเข้าใจมากขึ้นบ้างแล้ว มากบ้าง น้อยบ้าง ว่า การบังคับใช้กฎหมายนั้น อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ก็เหมือนกับเชือกเส้นหนึ่งที่ ตึงเกินไปก็ขาด หย่อนไปก็ไม่ได้ ยิ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นระดับโลก เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเกิดเมื่อไรก็ตาม ยาเสพติด ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในวันนี้ อาชญากรรมข้ามชาติซึ่งนับว่าจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การก่อเหตุรุนแรง การก่อการร้าย การทำลายทรัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือโรคระบาด ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องพึงนึกถึง แล้วก็ร่วมกันรับผิดชอบร่วมกัน แม้จะเป็นกิจการภายในของประเทศเราเอง แต่เราก็ไม่อาจจะเลี่ยง ไม่คำนึงถึงกรอบใหญ่ของโลกได้ ทุกเวทีประชาคมโลกเขาติดตามกันอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อให้เราไม่หลุดกรอบเหล่านั้น เพราะว่ามีองค์กรระหว่างประเทศ ต่างประเทศหลายองค์กร จับตาดูอยู่ ถ้าผิดพลาดมาเราก็อาจจะถูกมาตรการลงโทษ กีดกันทางการค้า หรือกดดันเรื่องอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ซื้อสินค้าไม่คบค้าสมาคมด้วย เหล่านี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็ถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังดีอยู่ ขอให้ทุกคนได้ตั้งใจ แล้วร่วมมือกันต่อไป โจทย์ของเรา ของรัฐบาลนี้ และทุกๆ รัฐบาล ก็คือว่า เราจะสร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศให้กับประเทศไทยได้อย่างไร เราจะต้องมีจุดยืนของเราเองโดยยึดมั่นผลประโยชน์ของชาติ แล้วก็มีความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นที่ตั้งภายใต้กรอบใหญ่ที่เป็นสากล เราคงไม่อาจพูดได้ว่า ประเทศของเรา หรือคนไทยนั้นจะทำอะไรก็ไม่เห็นต้องคำนึงถึงคนอื่น เพราะประเทศไทยนั้นมีหลายๆ อย่างที่เพียบพร้อมอยู่แล้ว อยู่คนเดียวได้ หรือจะยึดมั่นในมาตรการโดดเดี่ยวในโลกใบนี้ได้ วันนี้โลกเป็นยุคโลกาภิวัตน์แล้ว โลกโตเร็ว เปลี่ยนแปลงไว เรายิ่งต้องติดตามข่าวสาร แล้วก็มีการประเมินความเสี่ยง มีแผนเผชิญเหตุทุกเรื่องอย่างรู้เท่าทัน แล้วก็สร้างความสมดุลให้ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนด นโยบาย บทบาท หรือการวางจุดยืนของประเทศที่ชัดเจนแล้วก็เหมาะสมอีกด้วย

ในวันนี้ทุกคนคงรับรู้แล้วว่าสื่อโซเชียลนั้นมีอิทธิพลสูง และแพร่กระจายออกไปได้กว้างขวาง ทั้งในสังคมไทยและโลกอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวหรือสร้างข่าวได้เอง ผู้คนสามารถเสพข้อมูล รับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้รวดเร็วเป็นวินาที หรือเสี้ยวนาที สิ่งที่เป็นอันตรายมากที่สุดก็คือ การสร้างการรับรู้ที่ผิดๆ บิดเบือนไป โดยไม่ใช่ข้อเท็จจริง ซึ่งเราไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว จะยากขึ้นเรื่อยๆ ใครพูดก่อน ใครเขียนก่อนก็ได้ก่อน ทำนองนั้น บางอย่างนี่ผิด แล้วก็สร้างการรับรู้ผิดๆ ไปแล้ว คนก็เชื่อไปแล้วอันนี้มีปัญหา เมื่อออกไปสู่สังคมโลกแล้วนั้นก็เสียไปทั้งตัวเอง ทั้งประเทศชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวมก็หายไป ผมขอความร่วมมือให้ทุกคนทุกภาคส่วนได้พึงระลึก แล้วก็แจ้งเตือนกันช่วยกันทำความเข้าใจ หาข้อมูลให้ดี รัฐบาลก็พร้อมจะตอบคำถาม ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นใดที่เป็นความขัดแย้ง

ทั้งนี้ เพื่อผมหวังแต่ว่าให้สถานการณ์สงบ ไม่วุ่นวาย เราจะได้ใช้เวลาในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือแก้ปัญหาภายใน ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่นๆ ให้ได้รับแก้ไขด้วยคนไทยด้วยกันเอง เราก็ไม่อยากให้ใครมาช่วยเรา หรือทำแทนเราได้ ที่เขาเรียกว่า ยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ เป็นหลักการว่าเราต้องแก้ไข ทำความเข้าใจกันเองให้ได้นะครับ มีความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งโดยนิตินัย และพฤตินัย ที่สำคัญก็คือเราจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนืออธิปไตยของชาติไทยเราได้อีกด้วย เราต้องมีหลักคิด

ผมขอย้ำคำว่าหลักคิด พี่น้องประชาชนหลายคนที่สนใจติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ก็อาจจะมองเห็นว่า หรือบอกได้ว่าประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาลนี้เป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ท่านจะคิด ท่านจะติดตาม บางอย่างนั้นเราก็ทำได้ บางอย่างทำทันทีก็เสร็จเร็ว บางอย่างทำได้แบบต้องค่อยๆ ทำเพราะความขัดแย้งสูง หลายอย่างเสร็จแล้ว หลายอย่างเริ่มไว้ก่อน หลายอย่างก็ต้องเตรียมส่งต่อ หลายอย่างต้องเก็บมาจากรัฐบาลก่อนๆ คือ ต้องมาทำทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราต้องมาจัดระเบียบให้ดีในกรอบของการบริหารราชการแผ่นดิน การใช้จ่ายงบประมาณ หรือการจัดทำแผนงานโครงการต่างๆ นั้น วันนี้ต้องมีการร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน แล้วก็โปร่งใส เน้นเหล่านี้นะครับ รัฐบาลก็มุ่ง เน้นจะกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจกระจายความเจริญ ไปยังภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด แล้วก็ชุมชน หมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นจะต้องมีบทบาท ในฐานะพ่อเมือง วันนี้ก็เป็นข้าราชการทั้งสิ้น แล้วก็ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณ ตามหน้าที่ ตามภารกิจที่ได้ทรงมอบหมายไว้ให้ ก็จะต้องมีหน้าที่ในการกำกับดูแลหน่วย งาน เจ้าหน้าที่จากทุกกระทรวง ก็ขอความร่วมมือจากทุกกระทรวงด้วย ว่าต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นเป็นผู้ขับเคลื่อนจังหวัดในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของความต้องการในพื้นที่ ที่เรียกว่า Area Base ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องจบตั้งแต่ข้างล่างมาก่อน แล้วเสนอขึ้นมา ข้างบนก็จะพิจารณาแล้วก็อนุมัติลงไป แล้วก็เติมลงไปให้ ในสิ่งที่เป็นโครงสร้าง หรือเป็นเครือข่าย เพราะฉะนั้นในเรื่องของการกระจายความเจริญนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด จะจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ผมกล่าวมาแล้ว คือเป็นกลุ่มจังหวัด เป็นภูมิภาค ตามนโยบาย อย่างไร้รอยต่อ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง ทั่วประเทศ จะเชื่อมโยงกันอย่างไร กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์รวม ศูนย์กระจายสินค้า กันบ้างหรือเปล่า หรือการลงทุนประเภทอื่นๆ ให้ตรงกับศักยภาพ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ ทั้งคนไทย คนต่างประเทศ ที่จะมาลงทุนร่วมกัน ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งเรากำหนดไว้เป็นโครงการระดับชาติ เรียกว่า EEC แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือภาคใต้ ทำยังไงจะสงบสันติ มีการพัฒนาเราก็มีโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แล้วก็มีในเรื่องของ Smart City ด้วย

ในทุกกิจกรรม ทุกกลุ่มงาน ทุกกระทรวง ต้องคิดตามด้วย ทำงานด้วยการทำงานเชิงรุก ด้วยวิสัยทัศน์ ด้วยการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อจะให้ทุกภาคนั้นได้มีการเจริญเติบโตด้วยตนเองในทุกมิติ ลดการผลิต ลดการตลาด ที่มีการแข่งขัน หรือมีการผลิตที่ซ้ำซ้อน แล้วเราก็ไม่ผลิต หรือสร้างอะไรที่เกินความจำเป็นนะครับ คือเรียกว่ากำหนด Demand Supply ให้ต้องกัน ให้สอดรับกันอย่างแท้จริงในทุกมิติ หลายท่าน ก็อาจจะฝากความ หวังไว้กับการทำงานของ ป.ย.ป. ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหม่ จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดิม แต่ผมก็ดีใจ ที่ทุกคนให้ความสนใจ แล้วก็ทำให้มีกำลังใจในการทำงานของรัฐบาลขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่อยากให้เข้าใจว่า คำว่า ป.ย.ป. หรือคณะกรรมการ 3 - 4 คณะนั้นเป็น ยาวิเศษ ที่รักษาทุกโรคได้ ทันที ทันใจ เพราะ ป.ย.ป. นั้น ก็ถือว่าเป็นการปรับปรุงพัฒนารูปแบบในการทำงานของรัฐบาล แล ค.ส.ช. ผมก็คิดหาเครื่องมือในการทำงานใหม่ๆ เพื่อ ลดจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง เพิ่มศักยภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ทันต่อเวลา และสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็จำเป็นต้องมีฐานข้อมูล เพื่อจะบ่งชี้ปัญหา แสวงหาวิธีการแก้ไข ทั้งในเชิงลึก และยั่งยืน เพราว่ากลไกในการแก้ปัญหาประเทศ นั้นก็อยู่ที่รัฐ จะต้องกำกับดูแล ขับเคลื่อนส่วนราชการต่างๆ โดย ครม. และส่งตรงไปยังส่วนราชการ ถึงประชาชน ผมก็ดูแล้วว่า ปัจจุบันนั้น ในสถานการณ์ที่เราต้องมีการปฏิรูปนั้นยังไม่เพียงพอ ไม่เร็วพอ ผมก็เลยคิดเริ่มแก้ไขด้วยการมี กขป.6 คณะ ในช่วงที่ผ่านมา แล้วให้คำนึงถึงการบูรณาการการปฏิรูปอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานปฏิรูปมีการส่งต่อกันอย่างต่อเนื่อง และมีผลเป็นรูปธรรมเร็วขึ้นจากในห้วงที่ผ่านมาที่ขับเคลื่อนด้วย กขป.

วันนี้เราจะต้องสร้างเครื่องมือมาชุดหนึ่งที่ว่า ก็คือ ป.ย.ป. และอีกคณะหนึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับอีกคณะหนึ่ง เพราะทั้งหมดคือเราตั้งโจทย์มา เรามีวีธีการ เรากำหนดระยะเวลาที่จะต้องทำในแต่ละเรื่อง ทั้งหมดมันจะส่งต่อกันกลับเข้ามาที่ของเดิม ที่ ครม. คสช. กขป. มันก็นำมาผลิต นำมาขับเคลื่อน นำมาปฏิบัติ เพราะว่าทุกวันนี้รัฐบาลก็ไม่ได้หยุดในการทำงานในการบริหารแผ่นดิน ในกล่องเดิม ก็คือ กขป.ขับเคลื่อน

วันนี้ก็มีกล่องอีกกล่องหนึ่งขึ้นมา อะไรที่เร่งด่วนก็ไปเอาคณะหนึ่ง อะไรที่เรื่องปรองดอง ในเรื่องเศรษฐกิจสังคมที่ขัดแย้งอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ก็ไปแก้กันในกล่องนั้น แต่ทั้งหมดผลผลิตออกมา มาที่ ป.ย.ป. ซึ่ง ป.ย.ป. ก็คือ รัฐบาล แล้วก็ลงมาทางซ้ายเหมือนเดิม ให้ไปทำงานให้ครบ ที่ผ่านมาหลายคนก็ไม่เข้าใจว่า ทำอะไรไปบ้างแล้ว มีแต่ สปท.ออกมาพูด อะไรก็แล้วแต่ ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ทำงาน จริงๆมันทำแล้ว วันนี้ก็ไปรวบรวมมาเพิ่มเติมอีก อันนี้ทำเสร็จแล้วนะ อันนี้ก็ไปเอามาเพิ่ม ตรงกันหรือยัง บางอย่างตรงกัน แต่บางทีก็รู้ไม่ทั่วกัน เพราะว่าฝ่ายคิดก็คิด คิดถึงหลักการและเหตุผล แต่ไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไร วิธีการ แต่รัฐบาลต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาขับเคลื่อน เพราะรัฐบาลต้องไปคิดวิธีการมา วันนี้ก็จะเอาวิธีการเหล่านี้ ให้เขารู้ด้วย ไม่งั้นไอ้คนคิดก็คือคนคิด ไอ้คนทำก็คือคนทำ มันก็ไปด้วยกันไม่ได้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งมันก็มี มีทั้งผู้หวังดี หวังไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็ทำให้หลายอย่างหยุดชะงักไป ก็ขอเพียงความเข้าใจ ขอให้ทุกคนที่คิดว่าน่าจะดีกับประเทศชาติ ก็ขอความร่วมมือ ใครที่คิดว่าไม่ตรงตัวเอง ก็กรุณาเสนอความคิดเห็นให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ไปติติงโดยไม่มีหลักการและเหตุผล ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ มันทำให้สังคมไม่เข้าใจ และสับสนอลหม่านวุ่นวายไปเหมือนเดิมๆ ที่ผ่านมา ขอร้อง

ในเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลนี้ สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่เราไปดูแล้วว่า การส่งออกเรามันมีปัญหานะ ส่งออกได้มากได้น้อย เราต้องไปดูสิว่า เรามีความพร้อม มีความเข้มแข็ง มีการเสริมสร้างในเรื่องนวัตกรรม หรือผลิตผลใหม่ๆ ที่ออกไปแข่งขันการตลาดได้หรือยัง มีความเข้มแข็งเพียงพอไหม มีขีดความสามารถในการแข่งขันหรือเปล่า เหล่านี้มันทำให้การส่งออกเรามีปัญหา ฉะนั้น เราจำเป็นต้องคิดใหม่ว่า เราจะพึ่งพาการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว มันต้องเป็นทั้งฐานการผลิต ทั้งเป็นเทรดดิ้งเซนเตอร์คือ ผลิตเอง ใช้เอง และส่วนหนึ่งก็ผลิตส่งออกด้วยนวัตกรรม และภายในของเราเองก็สร้างห่วงโซ่ สร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่ในการผลิตในประเทศ และมาเชื่อมโยงห่วงโซ่ต่างประเทศ ทั้งจากการลงทุน ของนักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนไทย ในเอสเอ็มอีของเรา สตาร์ทอัป และ อี-คอมเมิร์ซต่างๆ ทั้งหมดมีการพัฒนาทั้งระบบ ก็ต้องใช้เวลา วันนี้หลายๆ อย่างก็ออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของการอีคอมเมิร์ซ บางกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ อี-เพย์เมนต์ หรือ พร้อมเพย์ต่างๆ เหล่านี้ก็ออกมาตามลำดับ กติกาสากล พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก การทำกิจกรรมต่างๆ การค้า การลงทุน ก็ทำให้สะดวกมากขึ้น มีตั้งหลายสิบกิจกรรม แม้กระทั่งการแก้ปัญหาในเรื่องของประมง ก็ออกกฎหมายมาตั้ง 90 ฉบับ ไม่งั้นทำงานอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น มันพันกันไปหมด ฉะนั้นถ้าเราเชื่อมโยงยิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทั้งการแก้ปัญหาการเริ่มต้นใหม่ การทำให้เข้มแข็งยั่งยืน มันก็จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความเข้มแข็งของประเทศ ประชาชนก็ได้รับประโยชน์จากตรงนี้

อย่างไรก็ตาม เราจะพัฒนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป เราจะลืมเรื่องคนไม่ได้ เราต้องพัฒนาคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพทั้งประเทศ เป็นคนที่มีคุณภาพคืออะไร คือเป็นคนที่มีการศึกษา เป็นคนที่มีหลักคิดและมีการคิดในสิ่งที่ดี ปฏิบัติในสิ่งที่ดี มีทัศนคติที่ดี มีจิตสำนึกที่ดี เหล่านี้คือการพัฒนาคน และคนก็มีหลายพวก หลายฝ่าย หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีการพัฒนาในกลุ่มของตนเอง รัฐบาลอยู่ตรงไหน ก็ช่วยกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ก็ไป แต่ตัวเองก็ช่วยตัวเองด้วย ภาคเอกชน ธุรกิจ วันนี้ก็ตกลงกันว่าจะไปช่วยรัฐบาลในการพัฒนาคนด้วย ตามโรงงาน ตามพื้นที่ ตามภูมิภาค รับผิดชอบโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ อาชีวะเข้ามาส่งเสริมเป็นที่ฝึกงานของเด็ก มันก็เกิดขึ้นทั้งหมดในสมัยนี้ ที่ผ่านมามันก็มีอยู่บ้าง แต่มันก็ช้าเกินไป

ฉะนั้น ถ้าเรามีการพัฒนาคนให้ดี พัฒนาระบบให้ดี จัดการบริหารจัดการให้เหมาะสม สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายของโลกใบนี้ หรือของประเทศไทย ถ้าเราเตรียมการเหล่านี้ไว้ทุกเรื่อง ทุกหน่วยงานและทำทุกอย่างให้มีนประสานสอดคล้องกัน เป็นการทำงานเชิงรุก ฉะนั้น ทุกคนก็ต้องเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานก็ต้องขับเคลื่อนไปกับผู้บังคับบัญชาด้วย ไม่ใช่มีไม่มีกี่คนที่ขับเคลื่อนอยู่ ข้างล่างก็ทำงานไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันไปไม่ได้หรอก เพราะประเทศชาติไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคนไม่กี่คน แต่ขับเคลื่อนด้วยคนทุกคน ด้วยคนเกือบ 70 ล้านคน ต้องไปด้วยกันทั้งหมด

เพราะฉะนั้นผมก็ขอเน้นย้ำอีกครั้ง ว่า การที่เราจะเอาชนะต่ออุปสรรคต่างๆ ของประเทศ ที่เรียกว่ากับดัก อะไรก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่มันก็เกิดจากปัญหาในเชิงนโยบาย เชิงโครงสร้าง เราต้องอาศัยความเข้าใจ ความร่วมมือ คือหลายอย่างนั้นจะต้องคลี่ออกมาให้หมด ปัญหาของประเทศไทยมีไม่กี่เรื่อง เรื่องแรกก็คือ คำว่าประชาธิปไตย มันเป็นอย่างไร กับอนาธิปไตยมันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำความเข้าใจว่ามันควรจะเป็นอย่างไร อันที่สองก็คือในเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเป็นธรรมในเรื่องของเศรษฐกิจและสังคม อันที่สามคือการศึกษา ที่ต้องสร้างหลักคิด และทำให้คนนั้น รู้จักคิดในสิ่งที่ดี ทำความดี มีจิตสำนึกที่ดี

เหล่านี้ สามเรื่องเนี่ย ผมว่า มันครอบคลุมในทุกปัญหา เพราะฉะนั้นก็อยากให้ทุกคนได้เข้าใจ ได้แก้ปัญหาร่วมกัน รัฐบาลก็จะแก้ปัญหาในเชิงนโยบาย ที่มีหลายประการด้วยกัน เช่น ผังเมือง ในการที่แก้ปัญหาน้ำหลาก น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือว่าชุมชนเมืองที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่มันมีผลกระทบกับประชาชนที่มีรายได้น้อย ถ้าเราไม่คำนึงถึงธรรมชาติของประเทศไทย ที่สูงที่ต่ำ ทางน้ำไหล เหล่านี้ มันก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะทุกคนไปบิดเบือนทั้งหมด ก็คือ ไปปลูกในพื้นที่ ปลูกบ้านในที่ไม่ควรจะปลูก หรือไปบุกรุกป่า ทำลายป่าเหล่านี้ ทำให้ทุกอย่างเป็นปัญหาที่รวมมาแล้ว ทำให้เกิดความเสียหาย ฉะนั้น เราต้องร่วมมือกัน ระหว่างรัฐ ประชาชน ให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน ต้องลดความขัดแย้งไปด้วย นับวันการใช้พื้นที่ทำกินของประชาชน ก็นับจะต้องมีมากขึ้น แต่ที่ดินเราก็น้อยลงทุกวันๆ เราจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสัดส่วนการใช้ การถือครองที่ดินทำกิน มันก็ลดลง บ้านเมืองก็แออัดมากขึ้น ไม่มีระเบียบ กีดขวางการจราจร ทำถนนหนทางอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ทุกคนต้องการ มันจะแก้ด้วยอะไร ก็ต้องมา พูดคุยกัน ไม่งั้นอุปสรรคต่างๆ มันก็เกิดขึ้นมาแล้วก็บริหารจัดการอะไรไม่ได้เลย ภัยพิบัติต่างๆ มันก็เกิดขึ้น ฝนตก ฝนแล้ง ดินถล่ม ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในพื้นทีที่มีปัญหาทั้งสิ้น ที่จริงมันไม่ค่อยถูก

เพราะฉะนั้นเราต้องทำร่วมกัน อย่าปล่อยปละ ละเลย เราใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ มามากแล้ว วันนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องช่วยกันปรับตัว คิดถึงการเสียสละประโยชน์ส่วนน้อย ให้ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่ แล้วก็ดูแลกัน หากทุกคนเอาแต่เรียกร้อง ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่จะเพียงพอ ได้เท่านี้เอาเท่านั้น ได้เท่านั้นก็เอาต่อไป ทำนองนี้ มันต้องรียกร้องให้พอเหมาะพอควร นะ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของอะไรก็แล้วแต่ มันมีกติกาอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่ทำอย่างไรมันจะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ อันนี้ต่างหาก ถ้าเรียกร้องอย่างเดียว แล้วก็ให้ไปเรื่อยๆ แล้ววันหน้ามันก็ไม่มีจะให้ วันนั้นบ้านเมืองก็เสียหาย ปั่นป่วน กลายเป็นอนาธิปไตยไปอีกนะ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว

เพราะฉะนั้นเรื่องของการบริหารจัดการตนเองในแต่ละชุมชนนั้น เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญ ฉะนั้นวันนี้เรากำลังสร้างกระบวนการเรียนรู้อยู่ เช่น การบริหารจัดการน้ำในชุมชน การบริหารจัดการเรื่องป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน คือ ทุกคนมีส่วนร่วมก่อน ในช่วงนี้การที่จะให้การพัฒนาในท้องถิ่นมันต้องมีแบบ มีแผน ในการที่จะพัฒนาเพื่อ จะไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนกัน ก็พยายามจะทำอย่างนั้นอยู่ ไม่ว่าจะงบประมาณจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น จริงๆ แล้วมันจะต้องสอดประสานอยู่ในพื้นที่นั้น ทั่วทุกตารางนิ้วของท่าน จะไปซ้ำกันในพื้นที่เดียวกันตลอดเวลา กิจกรรมเดียวกัน ตรงนี้ได้ ตรงนั้นไม่ได้ นั่นแหละคือปัญหาของบ้านเรา

วันนี้ทุกอย่าง ทุกปัญหา มีความเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ปัญหาที่ดิน ที่ทำกิน พื้นที่ป่า สภาพน้ำ อากาศ เหล่านี้ เชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ถ้าเราแก้ปัญหาอันหนึ่งไม่ดี ประชาชนไม่ร่วมมือ ประชาชนไม่เข้าใจ มันก็ไปเจออีกปัญหาหนึ่ง ประชาชนเดือดร้อน หรือประชาชนไม่มีอาชีพ รายได้ ที่เพียงพอ เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาอุปสรรคดังกล่าวเหล่านั้น มันต้องแก้ปัญหาแบบองค์รวมคำว่าองค์รวม ก็คือ รัฐ ประชาชน เอกชน ธุรกิจ เอ็นจีโอ เหล่านี้ต้องมาช่วยแก้ปัญหาแบบองค์รวม ในการที่จะทำให้กิจกรรมที่มันควรจะต้องเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีความจำเป็น หรือทุกปัญหาในแต่ละทุกพื้นที่นั้นได้รับการแก้ไข มันต้องมาช่วยกันแก้ไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่รัฐบาลตั้งอะไรออกมา บางโครงการมีประโยชน์ต่อตรงนี้ ต่อตรงนั้น ต่อส่วนรวม ค้านมันทุกอัน เป็นที่ที่ไป แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ซักอันไหมล่ะ อะไรที่มันจะเกิดกับชุมชนมันก็ไม่เกิด อะไรที่จะเกิดแก่ชุมชนอื่นก็ไม่เกิด อะไรที่จะไปเกิดกับประเทศก็ไม่เกิด สรุปว่าก็ไม่เกิดอะไรทั้งสิ้น ความขัดแย้งเหล่านี้มันก็ส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น พัฒนาไม่ทันบ้าง พลังงานไม่พอบ้าง เหล่านี้มันเป็นการแก้ปัญหาที่ละเสี้ยวๆ หรือการที่จะร่วมมือคัดค้านอะไรต่างๆ ก็เป็นเสี้ยวๆ ไป มันก็ทุกอย่างก็แตกสลายไปหมดนั่นแหละครับ จับต้องอะไรไม่ได้ซักอย่าง เหมือนก่อสร้างปราสาททรายยังไงมันก็พัง

เพราะฉะนั้นอย่าทำแบบนั้น ต้องช่วยกัน รัฐบาลนั้นพยายามจะกำหนดนโยบายที่มีความเป็นไปได้ มีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้เสียประโยชน์ และเราจะต้องดูแลผู้เสียประโยชน์อย่างเป็นธรรม ให้โอกาสเขาก่อนเสมอ ในการที่จะมีอาชีพมีรายได้ในพื้นที่ที่เขาเสียสละไป เหล่านี้เป็นนโยบายที่มอบให้กับรัฐบาล ที่รัฐบาลมอบให้กับทุกหน่วยงานไปแล้วนะครับ เราจะต้องแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน ไม่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ในเรื่องของการพัฒนา ในเรื่องของการได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การนำใช้ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ รวมไปถึงการป้องกันแก้ไขบรรเทาภัยพิบัติ ที่ปัจจุบันนั้นผมเห็นว่ามันเกิดจากน้ำมือมนุษย์มากที่สุดนะครับ ทำยังไงจะแก้ไขภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อเตรียมการรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมันเกิดจากธรรมชาติอีกอันหนึ่ง ปัญหาโลกร้อน สภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำเค็มเข้ามาถึงพื้นที่ภายใน น้ำที่เราได้มาจากฝน จากป่าไม่เพียงพอที่จะผลักดันน้ำทะเลออกไป

เพราะฉะนั้นอีกหน่อยก็เค็มทั้งประเทศ แล้วจะปลูกพืชกันยังไง หลายคนก็ไม่ค่อยเชื่อ ก็เอาน้ำเค็มเข้ามา หรือไม่ก็ไปเลี้ยงปลาทะเลอะไรต่างๆ หรือสัตว์น้ำทางทะเล ข้างใน ลึกๆ เข้ามามากๆ แล้วก็เอาน้ำทะเลเข้ามา วันวันหน้าก็ต้องเค็มไปทั้งหมด แล้วจะทำการเกษตรได้อย่างไร คิดช่วยกันคิดนะครับ มันถึงต้องไปดูเรื่องของการกำหนดพื้นที่ในการเพาะปลูก ในการทำปศุสัตว์อะไรก็แล้วแต่ ก็กรุณาฟังซักหน่อย มันก็ไม่ขัดแย้งกัน กฎหมายมันก็ไม่ถูกละเมิด

เรื่องดิน น้ำ ป่านั้น มีศาสตร์พระราชาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานไว้ให้กับพวกเรามากมายนะครับ เรื่องน้ำนั้น ก็ได้ทรงแนะนำให้รัฐบาล ได้น้อมนำมาดำเนินการอย่างเหมาะสม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งเก็บน้ำ พร่องน้ำ ระบายน้ำ เหล่านี้จะต้องทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 2 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ทำแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ปรับแก้มาตลอดเวลา ปรับโครงการนู้นมาใส่ตรงนี้ ปรับงบประมาณปีนี้ไปใส่ปีนู้น เอาปีนู้นกลับมาทำก่อน เหล่านี้เป็นเรื่องของการบริหารจัดการทั้งสิ้นที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ในการบริหารทั้งระบบแบบบูรณาการ ซึ่งองค์การสหประชาชาติก็ชื่นชมว่า เราสามารถเชื่อมโยงสภาพข้อมูลน้ำและสภาพอากาศจาก 34 หน่วยงานได้สำเร็จ และขอให้ประเทศไทยนั้นได้มีการขยายผลไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย นี่แหละครับสิ่งที่ดีๆ ที่เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของคนไทย ทุกคน อย่าทำลายกันนักเลย ความสำเร็จ ความสมบูรณ์นั้น เราคงต้องอาศัยเวลาอีกสักระยะหนึ่ง สร้างความรู้ สร้างความเข้าใจ สร้างหลักคิด แล้วเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติ มีแผนงาน แล้วเราต้องสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้เสมอ ตามลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วน หรือลำดับความสำคัญของปัญหาด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ผมได้มีโอกาสเยี่ยมชมคลังข้อมูลน้ำ และภูมิอากาศแห่งชาติ ณ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ที่รวบรวมข้อมูลที่แม่นยำ ทันต่อเหตุการณ์ ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในการทรงงาน เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำบนเว็บไซต์ส่วนพระองค์ weather901

ที่ผมยกขึ้นมากล่าวนี้ เพื่อให้พี่น้องชาวไทย เกษตรกร ชาวประมงทุกภาคส่วน มีความมั่นใจในรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องการติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์ และคาดการณ์สถานการณ์น้ำ เส้นทางพายุ ระดับน้ำทะเล และภัยธรรมชาติต่างๆ ให้เชื่อมั่นการแจ้งเตือน และฟังด้วยนะครับ ถ้าแจ้งไปแล้วไม่ฟังมันก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นในช่วงใดก็ตามที่ดินฟ้าอากาศมันดูแปลกๆ กรุณาเปิดดูสักหน่อย ฟังสักหน่อย มันจะได้นำไปสู่การแก้ปัญหาของท่านเองด้วย ไม่เกิดอันตรายต่อตัวเองและคนอื่น ช่วยกันปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการด้วย เดี๋ยวพอมีปัญหาอีกบอกว่ารัฐบาลไม่ได้แจ้ง ความจริงเขาแจ้งมาตลอด แต่ไม่ได้ฟัง หรือฟังแล้วก็เสี่ยงเอาเอง อันนี่อันตราย

ปัจจุบันเทคโนโลยีของโลก มีความก้าวหน้าไปมากมาย ได้สั่งการเพิ่มเติมให้มีการเชื่อมโยงข้อมูล จากการพยากรณ์น้ำอากาศดังกล่าว หลายอย่างมันก็มีบันทึกไว้ ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาตรงโน้น ตรงนี้ น้ำมันเคยท่วม ไม่ท่วม ที่ไหน อย่างไร ตรงไหนเป็นทางน้ำ ตรงไหนเป็นสิ่งที่มันจะต้องกักเก็บน้ำ มันมีหมดอยู่แล้ว เราจะต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ เพราะว่าวันนี้เราต้องเดินหน้าประเทศด้วยการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี ด้วยข้อมูลที่ทันสมัย หลายอย่างก็มาจากดาวเทียม ไม่งั้นจะมีดาวเทียมไปทำอะไรล่ะ ไว้โทรศัพท์อย่างเดียวเหรอ

เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเป็นศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ด้วย แล้ววันนี้ก็ได้มีการจัดทำเป็นแอปพลิเคชั่นบนมือถือด้วยนะครับ ให้ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่สนใจทุกๆ กิจกรรม แม้กระทั่งไปท่องเที่ยวก็ยังต้องรู้เลย ให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ มันจะมีเว็บไซต์อยู่ เพราะฉะนั้นรวมความไปถึงเชื่อมโยงกับ Agri map ประชาชน เกษตรกรจะช่วยกันในการเลือกปลูกพืชในพื้นที่และเวลาที่เหมาะสมกับสภาพน้ำ และอากาศด้วยครับ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุน Smart Farmer และเป็นอีกก้าวหนึ่งของการปฏิรูปเกษตรกรรมของประเทศด้วยที่ต้องเดินไปด้วยเทคโนโลยี

สำหรับประเด็นสุดท้ายสั้นๆ แต่มีความสำคัญมาก คือการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ผมมีความห่วงใยทุกคนเสมอ หลายแสนครอบครัวมีความเดือดร้อน มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตจำนวนมากพอสมควร บ้านช่องพังทลายเดือดร้อนเป็นล้านคน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลห่วงใย และได้วางแผน ได้สั่งการให้มีการปฏิบัติการตามขั้นตอน ตามลำดับ ตามแผน ปภ. นะครับ ป้องกันภัยภิบัติแห่งชาติ บางอย่างเร่งด่วน บางอย่างต้องค่อยทำ บางอย่างต้องเร่งให้ทันปี 60 บางอย่างอาจจะต้องเลยหลังปี 60 ไป เพราะมันทำพร้อมกันไม่ได้ มันเดือดร้อนกันทั้งหมด งบประมาณก็จำกัดด้วย เพียงแต่ขอความร่วมมือ อันไหนที่ต้องทำได้ในปี 60 ขอเถอะครับ ถ้าไม่ทำอะไรเลย 60 เขาก็ท่วมแบบเดิม ต้องเสียเงินไปจำนวนมากแบบนี้ แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย

เพราะฉะนั้นอะไรที่มันขวางทางน้ำ อะไรที่ขยับได้ก็ต้องขยับ ตามผังเมือง มันต้องมีคนเดือดร้อน แต่จะเดือดร้อนมากน้อยเพียงใดรัฐบาลต้องดูแลวันนี้ก็พยายามเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อจะช่วยเหลือ ที่เรียกว่าเป็นเงินให้เปล่าก็ส่วนหนึ่ง ในเรื่องของการสนับสนุนด้านเงินกู้ การชะลอหนี้ ชะลอดอกเบี้ย แล้วมีมาตรการในเรื่องของการสร้างสิ่งก่อสร้างที่มันสามารถชะลอน้าไว้ได้ การซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความเสียหาย, การดูแลเกษตรกร อุตสาหกรรม ที่เดือดร้อน ทั้งประมง ปศุสัตว์ ทั้งหมดนะครับ

ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ เหลืออยู่เล็กน้อยนะครับ ก็กำลังฟื้นตัว เราต้องทำให้ฟื้นตัวให้เร็วขึ้น ระหว่างที่ฟื้นตัวใช้เวลาในการฟื้นอีกระยะหนึ่ง ทำอย่างไร เขาถึงจะอยู่ได้ อันนี้ก็ทางมหาดไทย และทุกหน่วยราชการต่างๆ ที่อยู่ในศูนย์ 11 และศูนย์ 12 ดำเนินการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการภายในกรอบ ของรัฐบาลด้วย รัฐบาลพยายามทำคู่ขนานไปในเรื่องของการสร้างความยั่งยืน โครงการใหม่ๆ ที่ต้องทำ ที่ผมกราบเรียนไปแล้วเมื่อวันก่อน ก็คือ ที่มันจวางทางน้ำ จริงๆ มันมากกว่านั้นนะครับ 500 - 600 แห่ง ทีนี้เราก็ดึงมาว่า 116 แห่ง ต้องทำปี 60 ไม่ว่าจะของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท มหาดไทย ท้องถิ่นหมดเลย คมนาคมต้องระดมกันทั้งหมดให้ทันก่อนฝนหน้า

เพราะฉะนั้นฝากทำความเข้าใจด้วยครับ ฝากห่วงใยไปถึงพี่น้องประชาชนชาวใต้ทุกคน ให้กำลังใจ เพื่อจะดำรงชีวิตต่อไป ช่วยกันพัฒนาประเทศ ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วก็เป็นวันแห่งความรักนะครับ ขอให้คนไทยรักกันมากๆ ด้วย ระมัดระวังตัวเอง ผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวอะไรต่างๆ ต้องระมัดระวังนะครับ เพราะว่า วันนี้ก็อย่างที่บอกไปแล้ว บ้านเมืองมีคนไม่ดีอยู่มากมาย แต่ต้องช่วยขจัดคนไม่ดีแล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้คนไม่ดีได้มาทำอะไรที่เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติกับตนเอง กับครอบครัวด้วย ขอให้ทุกคนรักกันมากๆ มากขึ้นไปนะครับ ผมรักพวกท่านเสมอ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น