xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ มุ่งสร้างประชาคมเข้มแข็ง ท้าสอบทั้งตระกูลอย่าโยงให้วุ่น ให้ความเป็นธรรม “ปู”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” เน้นสร้างประชาคมเข้มแข็ง สร้าง ปชต.ที่สมบูรณ์ รับหลายอย่างชุลมุน ขอทุกฝ่ายยอมเสียประโยชน์เพื่อส่วนรวม อย่าคิดพูดขัดแย้ง ชี้ถ้าอยากได้คำชมก็แค่ถมเงินในอนาคตลงไป แต่สุดท้ายก็เสียหาย ขออย่าโยงทุกคดีพันกัน ปัดโยงคนต่างแดน ท้าให้ตรวจสอบทั้งตระกูล ชูสามระบอบ ปชต.ให้สังคมคิดสะท้อนปัญหา ลั่นทำดีที่สุดแล้ว แก้เรื่องร้องเรียน 96% บ่นต้านโรงขยะไฟฟ้า โรงไฟฟ้า ทั้งไม่ได้เอื้อประโยชน์ใคร อย่าเอา กม.ปนความไม่เป็นธรรม ยันให้ความเป็นธรรม “ปู”

วันนี้่ (3 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ประชาสังคมเข้มแข็ง สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” โดยก่อนพิธีเปิดงานฯ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการรุปผลการดำเนินงาน คสป.ประจำปี 2559 และนิทรรศการบทบาทภาคประชาสังคมต่อการพัฒนาประเทศ ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การทำงานวันนี้เพื่อสร้างประชาสังคมที่เข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่ผ่านมาทำคนทราบดีว่าประเทศมีปัญหาอะไรอยู่และกำลังทำอะไรกัน หลายอย่างยังชุลมุน พันกันไปมาเกือบทุกเรื่อง การบริหารราชการแผ่นดินต้องมีทั้งแกนเอ็กซ์และแกนวาย เพื่อผลักดันนโยบายต่างๆ จากรัฐบาลหรือความต้องการของประชาชนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจนเกิดผลสัมฤทธิ์ ตนมุ่งหวังการรวมกลุ่มของประชาชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เหมาะสมด้วยพฤติกรรม รวมกลุ่มเพื่อสร้างสรรค์ความดี มีหลักการและเหตุผล ไม่ใช่รวมกลุ่มเพื่อสร้างความขัดแย้ง ทุกคนต้องคิดถึงส่วนรวม เพราะถ้าคิดแต่การได้เพียงอย่างเดียว ส่วนเสียก็จะมาตกอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลพร้อมรับฟังความเห็น แต่ต้องมีหลักการและเหตุผลที่เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมาย วันนี้เราต้องปฏิรูปทั้งระบบทั้งราชการ ประชาชน ต้องมีกระบวนการคิดใหม่ในการฟื้นฟูประเทศ การรวมกลุ่มของประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการทั้งหมด

“ทุกคนต้องร่วมมือกันปฏิบัติ ถ้าเพียงแต่คิดและพูดอย่างเดียวแล้วไม่ทำก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย ยิ่งจะสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ประเด็นสำคัญที่ผมเข้ามาไม่ได้ต้องการไปรังแกใคร ต้องการเพียงเซตระบบใหม่เพื่อให้ทำงานได้ก็พอ บางครั้งก็ต้องใช้กฎหมาย หรือสิ่งที่อาจชอบหรือไม่ชอบบ้าง แต่ทั้งหมดเพื่อที่จะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็จะถูกจับจ้องตลอดเวลา แต่ถ้าทำอะไรผิดกฎหมายก็ต้องไปฟ้องร้องซึ่งเป็นกระบวนการของศาล ผมไปตัดสินให้ใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง ผมมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมีเสถียรภาพและทำคนสามารถทำงานได้ แต่ถ้าทุกคนยังมัวแต่มองผลประโยชน์ของตัวเองก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างเชื่อมโยงกัน สิ่งที่ผมกังวลขณะนี้คือทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนการปฏิรูป แก้ไขใหม่ ซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก จะใช้งบประมาณของรัฐทั้งหมดไม่มีทางเป็นไปได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาของประเทศไทยคือทุกคนมุ่งเน้นกิจกรรมของตัวเองโดยไม่ฟังกิจกรรมของคนอื่น แต่รัฐบาลทำไม่ได้ เราต้องเอาประชาชนเป็นหลัก การเรียนในห้องเรียนคือการศึกษา แต่การเรียนรู้ในระยะเปลี่ยนผ่านร่วมกันถือเป็นสิ่งสำคัญ การปฏิรูปคือการทำใหม่ไม่ใช่ทำแบบเดิม เราต้องคิดใหม่ทั้งหมด อย่าทำงานเพียงแค่ออกสื่อหรือประชาสัมพันธ์ให้เห็น ทุกคนถือว่าเป็น 1 ใน 70 ล้านคน ดังนั้นเราจะไม่ทำงานให้แค่คนกลุ่มเดียว และอาจจะไม่ทันใจ ไม่เช่นนั้นจะกลายว่าเราเอาเงินในอนาคตมาใช้ เราต้องทำของเก่าให้ดีขึ้นเสียก่อน

“จะเอาแบบให้พอใจทั้งหมด ชื่นชม และไม่ว่าผมเลย ก็ไม่ยากแค่ใครต้องการอะไรก็ถมเงินงบประมาณลงไป ใครอยากได้อะไรก็ให้ทั้งหมด ปัญหาก็จะกลับมาที่เก่าและแย่ไปกว่าเดิม วันนี้โลกไร้พรมแดนการสื่อสารรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสื่อทุกวันนี้ผมพูดเสร็จไม่เกิน 15 วินาทีก็ไปแล้ว จะดีเลว ถูกหรือไม่ถูก แต่ข่าวถูกนำเสนอไปแล้ว แล้วดีกับประเทศไทยหรือไม่ บางอย่างก็เป็นข้อเท็จจริงที่กำลังแก้ แต่เมื่อสื่อนำเสนอแล้วแก้ไขไม่ได้ ผมไม่ได้ตำหนิสื่อแต่อยากชี้ให้เห็นว่าโลกเป็นอย่างนี้ ทุกประเทศเป็นแบบนี้ เมื่อวานได้รับรายงานจากกระทรวงกลาโหมก็ไปประชุมในหลายเรื่องหลายวาระ หลายกลุ่มแยกประชุม ในส่วนของหัวหน้าก็แยกไปประชุม แต่ทุกคนไม่เข้าใจอะไรเลย ผมไม่รู้จากอะไรหรือเป็นเพราะผมเข้ามายุ่งมากเกินไปหรือเปล่า หรือเข้ามาทำทุกอย่างให้วุ่นวาย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทุกอย่างมีกฎหมาย เพียงแต่ไม่ทำอย่างจริงจัง มีผู้รับมีผู้ให้ อำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน นำไปสู่การคอร์รัปชัน และเรื่องนี้อย่าเอาแต่ละคดีมาปนกัน เพราะมันคนละเรื่องกันคดีใครก็คดีนั้น ศาลเป็นผู้นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตัดสิน ผลเป็นอย่างไรก็ต้องตามนั้น ไม่ใช่ไม่รับการตัดสินแล้วบอกว่าถูกรังแก ตรงนี้อยากให้ช่วยกันสร้างกระบวนการยุติธรรมชัดเจนขึ้น

“ไม่ว่าจะตัวผม ญาติพี่น้อง ก็ไปสอบกันมา ไม่ใช่มาโยงกัน ผมยังไม่เคยโยงไปถึงคนที่อยู่ต่างประเทศสักที คดีใครก็คดีมัน ว่ากันไป อย่าไปสร้างการรับรู้แบบนี้ มันจะทำให้คนสับสนวุ่นวายไปหมด ถ้าเขาไม่ผิดขึ้นมาจะว่าอย่างไร ก็มีศาลยุติธรรม แต่ถ้าผิดขึ้นมาก็อ้างว่ารังแก ทำไมถึงคิดแบบนี้ ผมเข้ามาแบบนี้ คิดแบบนี้ ไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้น ผมต้องอยู่ให้ได้เพื่อทำงาน”

สิ่งสำคัญถ้าเรายังมองว่าการแก้ปัญหาบ้านเมือง หรือการเมืองเป็นเรื่องของรัฐบาล และนักการเมืองเท่านั้น ประเทศก็จะจมปลักอยู่อย่างนั้น และจะจมลึกลงเรื่อยๆ วันนี้ไม่ใช่แล้ว ต้องใช้คำว่าความสัมฤทธิ์ของความเป็นพลเมือง ของประชาชน ต้องสร้างจิตสำนึกให้ถูกต้อง จะแก้ไขตัวเองตรงไหนอย่างไร โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย บ้านเมืองถึงจะไปได้ ถ้าเราขาดสำนึกความเป็นพลเมืองไทย ขาดสำนึกในหน้าที่พลเมือง ขาดการมีส่วนร่วม หรือบทบาททางการเมืองต้องการประชาธิปไตย เลือกตั้ง มันเพียงพอหรือไม่ กับการเลือกตั้งแล้วบอกว่าเรามีประชาธิปไตย วันนี้พอจะปรับกฎหมายก็ไม่ยอม ไม่เป็นประชาธิปไตย ขอถามว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมา มันคงไม่เกิด ยุบมันเลิกวันนี้ทั้งหมดกลับไปที่เก่าตนก็พร้อม

“ผมคิดจนสับสนอลหม่านไปหมดทำให้สมองผมเสียหาย โมโหบ้าง หงุดหงิดบ้าง แต่ผมก็รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทุกอย่างก็โครมๆ ทุกวัน ผมก็มนุษย์จะให้ยิ้มรับก็ไม่ใช่ หลายคนคาดหวังว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเวลาที่ท่านคาดหวังคนอื่น เขาทำให้อย่างนั้นหรือไม่ แต่วันนี้ผมทำหลายอย่างที่ท่านต้องการ ไปคิดเอา อะไรผิดถูกไปว่ามา อะไรที่จะทำให้เป็นประโยชน์ผมรับทั้งสิ้น”

นายกฯ กล่าวว่า อย่าคิดเพียงว่าบทบาทของพลเมืองมีแค่การเลือกตั้ง ต้องมีวิธีคิดของตัวเอง มีวิถีประชาสังคม ที่กำลังทำกันอยู่นี้ โดยกำหนดอนาคตตัวเองผ่านกลไกรัฐบาล นั่นคือประชาธิปไตยที่ถูกต้อง มีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล มีข้าราชการที่โปร่งใส อยากให้รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน สมดุลทางความคิด ไม่เกิดความขัดแย้ง ที่ตนเข้ามาเพราะอยากให้ประเทศดีขึ้น เราต้องลดความขัดแย้งให้ได้ ประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ ไม่ใช่สังคมนิยมประชาธิปไตย หรือสาธารณรัฐ และอยากให้ดูว่าสามอย่างนี้ต่างกันตรงไหน แล้วจะรู้ว่าประเทศไทยเกิดจากปัญหาอะไร แล้วจะอยู่ได้หรือไม่ จำคำตนไว้ว่าสามระบอบประชาธิปไตยนี้ ท่านต้องรู้ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ตามฐานะที่ท่านทำงานอยู่ตรงไหน วันนี้สิ่งที่ต้องเร่งทำอีกคือการปลูกจิตสำนึก ไม่ใช่การปลูกผักชีที่จะปลูกเร็วขนาดนั้น

นายกฯ กล่าวว่า บางคนอยากย้อนกลับที่เดิม อยากพัฒนาตัวเองก็มี แค่นี้ยังตกลงกันไม่ได้ ทำอะไรก็ทำไม่ได้อีก นั่นเป็นกระบวนการมีส่วนร่วม ต่อไปวันหน้าก็จะบอกว่าทุกอย่างจะต้องบริหารจัดการกันเอง ถามว่าวันนี้เราพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมกระทรวงมหาดไทยก็ไม่ต้องมี ไม่ต้องมีท้องถิ่นอะไรทั้งสิ้น ทำได้หรือไม่ วันนี้คงได้เห็นรูปผู้หญิงตักน้ำอาบกลางถนน ในมุมหนึ่งก็เป็นการประท้วงสร้างการรับรู้ แต่ภาพออกไปทั่วโลก คนไทยอายไหม จริงๆ แล้วมีช่องทางการร้องเรียน ไปไล่ดูว่าถนนนั้นอยู่ในความรับผิดชอบใคร ทำไมถึงไม่ซ่อม หรืองบประมาณไม่มี ถ้าไม่ต้องรายงานกระทรวงมหาดไทยขึ้นมา เขามีงบกลาง สามารถทยอยทำได้ ไม่ใช่นิ่งกันหมด ถึงเวลาแก้ไม่ได้ก็เกิดภาพแบบนี้ขึ้นมา แล้วใครที่โดน

“ผมโดนอีก ถามว่าจะตั้งกันทำไมหน่วยงานข้างล่างเป็นแถบ ไม่ต้องตั้งหรอก ผมสั่งคนเดียวมันเป็นไปไม่ได้ ที่ผมพูดกลายเป็นว่ารับทุกเรื่อง ไม่ใช่นั่งบริหารอยู่บนหอคอยงาช้าง ถ้าเรามีเหตุผลมีข้อมูลเพียงพอ ยึดโยงหน่วยงานอื่น จะทำให้แก้ปัญหาด้วยการไตร่ตรองรอบด้าน” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า ท่านต้องทำให้ได้ว่า 20 ปีจะทำอะไร ตนมีแผนแม่บทให้ดู เป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา ถ้าจะเปลี่ยนให้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยมาเปลี่ยน มันต้องทำได้ในกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่อะไรก็โยนกลับมาที่ตนว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ และที่สรุปมาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะมาทวงบุญคุณ แต่ตนต้องการสร้างประชาธิปไตยให้มันลึกซึ้งกัน ตนสัมผัสได้แล้วไม่ใช่พูดลอยๆ พูดทุกวัน กลับกลายเป็นว่าที่ชอบตนพูดเพราะตลกดี มันใช่ไหม แต่ตนต้องการสร้างให้ทุกคนฟังและคิด ไม่ใช่ว่าจะตลกเมื่อไหร่ นั่นแหละคือการอบรมวิธีการทางทหาร คือทำให้คนรู้สึกสนใจ แต่คงใช้กับพลเรือนได้ยาก

“พลเรือนมีความคิดเป็นอิสระ บังคับไม่ได้ แต่ทหารมีวินัย อย่างน้อยมันไม่ชอบผมก็ไม่เอาไปว่าผมในห้อง แต่ผมก็ประสาทเสีย เพราะข้างนอกไปบอกข้างนอกบอกมา ไปข้างนอกเดี๋ยวผมก็แก้ได้ ทำแบบนี้สิ ผมฟังท่านทุกคน”

วันนี้จิตสำนึกจิตสาธารณะเป็นเรื่องสำคัญ อย่างเรื่องผักตบชวามันมารวมอีกแล้วหลายล้านตัน ต้องเสียเงิน เสียกำลังคน ไปมะรุมมะตุ้ม อีก 3 เดือนก็มาอีก ทำไมทุกคนไม่หยิบผักตบชวาคนละต้นมาทำลาย ทุกคนอาจจะมองว่ามันอยู่รอบบ้าน แต่เมื่อน้ำไหลมันก็มาอยู่รวมกัน ทำไมถึงไม่คิดจำกัดตั้วแต่ในพื้นที่ ตนฝากผู้ที่เกี่ยวข้องให้กำจัดผักตบชวาทุกต้นที่มองเห็น ถ้าทำได้ก็จะหมดไป ทีนี้จะได้ไปไล่ข้าราชการที่ให้งบฯ ไปแล้ว แต่ไม่เก็บข้างล่าง เป็นปัญหาง่ายๆ ที่ทุกคนแก้ได้ และอดีตมีกฎหมายเรื่องผักตบ ปรับคนละ 100 บาท แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ ยกเลิกกฎหมายไปแล้ว เพราะมองว่าเป็นการบังคับกันเกินไป แล้วจะทำอะไรได้ ต้องมองกันที่การกระทำ รวมถึงเรื่องขยะ ต้องการที่ทิ้งที่ดีขึ้น พอจะเอาขยะไปทำโรงไฟฟ้าก็ไม่ได้อีก ต่างประเทศอยากมาสร้างโรงขยะไฟฟ้าที่บ้านเรา แต่ทำไม่ได้ เพราะมีการต่อต้าน อย่างนี้แล้วขยะที่มี 300 ตันทุกเดือน จะเอาไปไว้ไหน ก็ต้องเอาไปกองไว้ที่ประชาชนเหมือนเดิม แล้วใครได้ประโยชน์ ใครได้สัมประทาน แทนที่จะสร้างให้เกิดพลังงานไฟฟ้าและขยะก็หมดไปด้วย

วันนี้ทุกคนแต่เพียงว่า ถ้าทำแบบเดิม เลยไม่ทำมันคือปัญหาของเรา เรื่องโรงไฟฟ้าตนไม่เคยคิดเอื้อประโยชน์ใคร ดูไว้ถ้าตนไม่อยู่จะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ ถ้าไม่ทำอย่างที่รัฐบาลนี้วางแผนเอาไว้ก็ไปหาวิธีการเอาเอง รัฐบาลจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่จะเรียกร้องมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องปรับเข้าหากัน รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน จะคิดยังไง เอาปัญหาทั้งหมดมาดู ปัญหาอะไรที่ทำได้ทำก่อน จะลงทุนพลังงานไฟฟ้า อนุมัติวันนี้ สร้างพรุ่งนี้มันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีบรัษัทไหนเอางบประมาณบริษัทมาลงทุน เขาจึงจำเป็นต้องขอล่วงหน้า

ประเทศไหนหรือใครมาเป็นรัฐบาล ถ้าที่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันมากๆ ต่อให้ดีอย่างไรเขาก็ไม่มาลงทุนเพราะไม่มีอนาคต วันนี้ตนทำดีที่สุดแล้ว ทุกคนถามตนว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ตอบเขาให้ได้ ท่านไปพูดกับเขาแทนตนว่าไม่มีการต่อต้าน ไม่มีการทุจริต ไม่มีการเดินขบวน ขัดแย้ง ประท้วงรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม ไปพูดกับเขา ไม่ใช่ให้ตนพูดคนเดียวทุกวัน เพราะนั้นเป็นอนาคตของท่าน ไม่ใช่ของตน เพราะตนเกษียณอายุแล้ว วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะถูกด่าอีกเท่าไหร่ สิ่งที่ทำไปแล้วก็ยังไม่รู้ เพราะยังไม่สำเร็จ ตนพูดกี่ครั้งแล้วว่าต้องมีการทำตามลำดับขั้น ถึงต้องมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ท่านมั่นใจหรือไม่ปีเดียวจะแก้ได้ ตนอยู่ถึงปี 60 ไม่รู้จะแก้ได้หมดหรือเปล่า

ท่านต้องวางกติกาให้ดี กฎหมายก็คือกฎหมาย จะใช้เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ก็ได้ ต้องดูว่าประโยชน์มันอยู่กับใคร คนส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย อย่าเอามาปนกันระหว่างความยากจน ความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ กับการกระทำผิดกฎหมาย ต้องแยกกัน ไม่เป็นธรรมตรงไหนก็เอามาแก้ไข รัฐบาลมีหน้าที่อย่างนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่ๆ กันไป แล้ววันนี้เป็นอย่างไร พอบังคับใช้กฎหมายก็กลับไปที่เก่า จนกว่าเดิมอีก ทำไมไม่หยุดตั้งแต่ต้น นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันหน้า คอยดูสิ่งที่ตนพูดไว้

ทั้งนี้ การมีส่วนรวมต้องเข้าใจก่อนว่าประเทศไทยมีการปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐบาลและท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้ง มีแต่ส่วนกลางเท่านั้นที่มาจากแต่งตั้งเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน วันหน้าการบริหารทั้งส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นก็อยู่กับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เชื่อว่าต้องมีคนดีมากกว่าคนไม่ดีแน่ เราต้องมีการวางแผน มีวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ทำวันนี้เพื่อพรุ่งนี้ ทำแล้วทำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ที่เดิม อย่าไปโทษใคร ต้องโทษพวกเรากันเองเพราะเราเลือกตั้งคนเข้ามาเอง ตนก็โทษตัวเอง เพราะเลือกเขาเข้ามาเหมือนกัน วันนี้ต้องรับเรื่องร้องเรียนกว่า 3 ล้านเรื่องทั่วประเทศ มีรัฐบาลไหนเปิดทุกช่องให้ร้องเรียนอย่างนี้ไหม วันนี้แก้ไปแล้ว 96 เปอร์เซ็นต์ แต่ทำให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์คงไม่ได้ ขณะนี้ข้าราชการทำงานกันหนัก วันนี้ทุกคนรู้ตัวเองว่ารวยหรือจน ตนไม่ได้ประกาศอะไร มันอายนักหรือไงคนจน อยู่อย่างพอเพียงก็อยู่ได้ หลายคนมีเงินเดือนรวมถึงตนที่กินเงินเดือน ตัวเอง ดูแลลูกน้อง ครอบครัวตนก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรือต้องการอะไรอีก แต่อย่าลืมข้าราชการฐานะไม่เท่ากัน กว่าจะโตมาถึงวันนี้อยู่ที่ประคับประคองตัวเองมาถึงแค่ไหน รัฐบาลดูแลแค่ไหน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลปล่อยปละละเลยก็จะสับสนอลหม่านทั้งหมด เขาเรียกว่าไม่ผิดแต่ปล่อยปละละเลยละเว้น เจ้าหน้าที่รัฐหากไม่ผิดแต่ปล่อยปละละเลยก็ถือว่าผิด ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 รัฐบาลได้ใช้กับทุกกรณี แต่ที่ผ่านมากลับไม่ใช้เอง ถามว่าทำไมไม่ใช้ หากรัฐบาลนี้ไม่ใช้รัฐบาลก็จะโดน ขอให้เข้าใจส่วนเรื่องการรับผิดทางแพ่งหรือกระบวนการอื่นก็ขอให้ไปว่ากันตามกระบวนการ แต่ตนยึดว่าต้องทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี รัฐบาลมีหน้าที่รวบรวมคดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและทุกคนมีสิทธิต่อรองหรือฟ้องศาลปกครอง แต่หากไม่นำเข้ากระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างจะกลับไปเป็นแบบเดิม ปัญหาลักษณะนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก ใน พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ไม่ใช่เอาผิดเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ที่ผ่านมาดำเนินการทั้งหมดแล้วกว่า 5,000 คดี เพียงแต่คนไม่ค่อยจะสังเกตเพราะมีความเสียหายน้อย เป็นการลงโทษกันภายใน ไม่ได้ทำเพื่อความสะใจไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกพ้อง

“ท่านต้องทำให้สังคมเข้าใจตรงนี้ เพื่อให้เกิดความสามัคคี หรือที่เรียกว่าปรองดอง แค่ให้เข้าใจปัญหานี่คือความปรองดอง ส่วนการปรองดองอันเกี่ยวกับความขัดแย้ง การฆ่ากันต้องใช้กฎหมายในการบังคับใช้ ผมไม่ชอบคนที่พูดว่าการจะเปลี่ยนแปลงจะต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตาย ถามว่าคนพูดเคยสูญเสียหรือไม่ แต่ทำไมถึงชอบพูดแบบนี้ เพราะสำหรับผมบาดเจ็บล้มตายเพียงคนเดียวก็ไม่ได้” นายกฯ กล่าว


















กำลังโหลดความคิดเห็น