xs
xsm
sm
md
lg

ทำได้หรือเปล่า!! “บิ๊กตู่” ฝอยน้อยลง เปิดทาง รมต.โลกลืม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอพูดน้อยลง ไม่สัมภาษณ์พร่ำเพรื่อเหมือนแต่ก่อน หลังโดนหลายฝ่ายท้วงติงว่า ฝอยมากไปไม่ดีกับตัวเองและรัฐบาลโดยรวม โดยเฉพาะบุคลิกของตัวเอง เป็นคนโผงผาง ขวานผ่าซาก อาจถูกนำไปขยายความ บิดเบือน จากผู้ไม่หวังดี ให้มีการตีความกันผิดๆ จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต เหมือนกับกรณีที่สื่อต่างประเทศนำคำพูด “ประหารชีวิตสื่อ” ไปเผยแพร่อยู่ทั่วโลก ทั้งที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่า มันเป็นการยุแหย่กันระหว่างผู้นำกับสื่อ ที่ทำกันจนคุ้นชิน

สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะยิ่งพูดมาก โอกาสผิดพลาดยิ่งสูง โดยเฉพาะบุคลิก “บิ๊กตู่” ที่เวลาโดนซักหนักๆ มักจะมีน้ำโหเกิดขึ้นเสมอ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ต่อมความอดทนต่ำ จุดเดือดก็ต่ำ จนปรี๊ดแตก หรือเหวี่ยงใส่ กลายเป็นประเด็นใหญ่โตกลบสาระสำคัญที่ต้องการอธิบาย แล้วเหมือนเตะหมูเข้าปากหมา สื่อค่ายตรงข้าม หรือฝ่ายต้านที่ต้องการดิสเครดิต ขยายกลายเป็นเรื่องวุฒิภาวะของผู้นำ ซึ่งจริงส่วนหนึ่ง เพราะคนเป็นผู้นำต้องมีความอดทน อดกลั้น มากกว่าคนอื่นๆ เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องวางตัวดี

จะอ้างว่าติดนิสัยความเป็นทหาร เป็นคนพูดตรง ไม่ต้องการเสแสร้งเหมือนที่พยายามอธิบายทุกครั้งที่วีนแตก แต่ต้องยอมรับด้วยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ บ้านเมืองยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การพูดจาหยาบกร้าน และหยาบคาย จะเป็นช่องโหว่สำคัญให้มีผู้ไม่หวังดีโหมประโคมประเด็นนี้ เพื่อลดความน่าเชื่อถือ หรือนำไปบิดเบือนถ้อยคำ ปฏิกิริยาของผู้นำในด้านลบ

ไม่ใช่แค่ภายในประเทศ แต่รวมถึงภายนอกประเทศ ที่มีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยเฉพาะเรื่องล็อบบียิสต์ ที่เป็นอันรู้กันว่า ฟากฝั่งนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีจำนวนมากมาย เพราะไปกว้านซื้อจ้างมือดีเอาไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน องค์กรต่างประเทศ ที่พร้อมจะกระทุ้ง หรือทำลายผู้นำรัฐประหารของไทย ประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ก็มิวายนำไปถูกขยายใหญ่ได้เหมือนกัน แม้แต่เรื่องคำพูดคำจาของผู้นำเอง

หากปล่อยให้ร่ายยาวเหมือนเดิมจะเป็นอุปสรรคสำคัญให้การทำงานต้องติดๆ ขัดๆ เพราะต้องมามัวเสียเวลามาชี้แจงกับเรื่องเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ต่อไปพูดเฉพาะประเด็นสำคัญๆ เท่านั้นพอ เรื่องรายละเอียดต่างๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลืมตาอ้าปากชี้แจงบ้าง ให้รู้ว่าในรัฐบาลไม่ใช่ “บิ๊กตู่” ทำงานอยู่คนเดียว

นอกจากคำพูดของ “บิ๊กตู่” ที่มีปริมาณมากจนอาจทำให้เสี่ยงเกิดข้อผิดพลาดแล้ว ยังกระทบไปถึงบุคคลอื่นๆในรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะมิติทางด้านการทำงาน เพราะทุกวันนี้ปริมาณคำพูดของผู้นำ กำลังกลบศักยภาพ และผลงานของทีมงานตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว

การพูดทุกเรื่องเหมือนเป็นการแย่งซีนบรรดาเหล่ารัฐมนตรีทั้งหลายทางอ้อม ต่อให้ในวันเดียวกันรัฐมนตรีจะพูดอธิบายรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ มากน้อยเพียงใด แต่เมื่อ “บิ๊กตู่” ให้สัมภาษณ์เรื่องนั้น สื่อทุกสำนักจะให้ความสำคัญกับตัวผู้นำทันที ในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจ และกำหนดทิศทางของประเทศ ส่งผลให้กลบรัศมีเสนาบดีที่รับผิดชอบกลายเป็นความสำคัญลำดับรองลงมา เห็นได้จาก ปรากฏการณ์พาดหัวข่าว หรือการนำเสนอข่าวของสื่อทุกสำนัก จะให้ไฮไลต์ไปที่ตัวผู้นำเป็นอันดับแรก เหมือนที่ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เคยประชดประชันนักข่าวเอาไว้

เหตุนี้เองยังทำให้รัฐมนตรีหลายคนกลายเป็นรัฐมนตรีโลกลืม ประชาชนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า เป็นรัฐมนตรีจริงหรือไม่ หรือมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะไม่มีโอกาสได้พูด หรือไม่กล้าพูด กลัวล้ำเส้นผู้นำ หรือพูดแล้วก็โดนรัศมีผู้นำแย่งซีนไปอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ที่มีประเด็นให้ตามติดทุกวัน ที่เมื่อ “บิ๊กตู่” พูด คนอื่นจะเป็นเพียงตัวประกอบฉากทันที โพลไปสำรวจออกมากี่ที ก็รั้งบ๊วยร่ำไป ส่วนคนได้คะแนนเยอะสุดคือ คนที่พูดเยอะสุดอย่างนายกฯ

ซึ่งเป็นสัจธรรมของสังคม สังคมจะตัดสินเฉพาะคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา คนพูดบ่อย คนเป็นข่าวบ่อย ยิ่ง “บิ๊กตู่” พูดทุกวัน วันละหลายเรื่อง แล้วยังมีรายการคืนความสุขให้คนในชาติทุกวันศุกร์ เลยทำให้ทั้งรัฐบาลทำงานอยู่คนเดียว การลดปริมาณการพูดล่าสุด จึงเป็นการปรับกลยุทธ์เรื่องนี้โดยตรงด้วย ต้องการให้รัฐมนตรีมีตัวตน มีพื้นที่บนหน้าสื่อ

โดยเริ่มทำตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลัง “บิ๊กตู่” พูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติเพียง 18 นาที จากเดิมพูดเป็นชั่วโมง ยาวเหยียดเป็นคุ้งเป็นแคว แต่หารเฉลี่ยให้ทีมงานแต่ละด้านใน ครม. มาพูดประเด็นสำคัญในรอบสัปดาห์กันบ้าง ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์

นอกจากนี้ ทุกสัปดาห์ยังให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละด้าน พาแต่ละกระทรวงที่ตัวเองดูแล มาแถลงผลงานให้ประชาชนเห็น โดย “บิ๊กตู่” จะเลี่ยงการสัมภาษณ์เรื่องนั้น หรือพูดน้อย ไม่ให้ไปแย่งรัศมีข่าว หรือบางวันเลือกจะไม่พูดเลย

ต้องรอดูยุทธศาสตร์นี้จะได้ผลหรือไม่ แล้ว “บิ๊กตู่” เองจะอดทนอดกลั้น ไม่พูดได้หรือไม่ จะห้ามนิสัยตัวเองที่ชอบพูดชอบอธิบายได้นานหรือเปล่า โดยเฉพาะเมื่อปล่อยให้ชี้แจงแล้ว แต่ลูกทีมยังทำไม่ได้ดังใจ ซึ่งมีแนวโน้มสูงเหมือนกัน หลังคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ยังเป็น “บิ๊กตู่” ที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อ และประชาชนเหมือนเดิม ส่วนเนื้อข่าวที่รัฐมนตรีพูดไม่ค่อยหวือหวา ติดปลายนวมอยู่หน้ากระดาษเฉกเช่นที่แล้วมา

หากเลือกจะปรับให้รัฐมนตรีคนอื่นพูดมากขึ้น ต้องกำชับไปถึงประเด็นที่จะพูด ต้องกล้า ต้องได้เนื้อได้หนัง ไม่แพ้ที่ “บิ๊กตู่” พูด มาแทงกั๊ก โลกสวย รับรองยุทธศาสตร์นี้ล่มอีกไม่นาน

ขณะที่เรื่องมาตรา 44 ที่กำลังโดนรุมตีกินทั้งในและนอกประเทศ มันกลายเป็นเหมือนอาวุธร้ายในสายตาคนไปแล้ว ซึ่งน่าเอาความน่ากลัวมาเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ให้คนมองแต่เรื่องความมั่นคงอย่างเดียว ด้วยความเบ็ดเสร็จของหัวหน้า คสช. ควรเอามาตราดังกล่าวมาเป็น “ทางลัด” ในการแก้ไขปัญหา เหมือนกรณีเรื่องญี่ปุ่นระงับการเพิ่มสายการบินของไทย ที่ใช้ร่นระยะเวลาการแก้ไขปัญหาให้น้อยลง

บางเรื่องถ้าเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่ต้องใช้เวลาในการลงมือนาน จับมาตรา 44 มาปลดล็อกเสียให้สิ้นเรื่อง มีแต่คนจะยกมือท่วมหัวขอบคุณให้ ใช้ดีๆ เอามาเป็นตัวปั๊มผลงานให้ตัวเองได้เหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น