รัฐบาล-ฝ่ายค้าน งัดภาพเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงพิสูจน์กันว่อนสภา “ วรวัจน์” โชว์คลิปอ้างทหารรุมยำประชาชน ยัน2 รปภ.ถูกฆ่าเป็น การ์ด นปช . อวดมีคลิปเด็ดมัดรัฐบาล-ทหาร มือเปื้อนเลือด ขณะที่“นายกฯ-สุเทพ” ย้ำไม่มีผู้เสียชีวิตจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมท้าฝ่ายค้านตั้งคณะกรรมการสอบร่วม ฉีกหน้าเพื่อไทยอย่ามากล่าวอ้างลอยๆ หากินกับศพคนตาย
วันนี้ (23 เม.ย.) การประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 กรณีที่รัฐบาลขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านในวันที่ สอง โดยสมาชิกพรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าโจมตีรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ทหารอย่างต่อเนื่องว่ามือเปื้อนเลือด และยังคงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภา แต่บรรยากาศในครั้งนี้ค่อนข้างเข้มข้น โดยแต่ละฝ่ายได้นำภาพหลักฐานและคลิปเหตุการณ์ต่างๆมาหักล้างกันชนิดประเด็นต่อประเด็น
น.พ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวพร้อมโชว์ภาพที่ระบุว่าเป็นประชาชนถูกอาวุธจากทหารยิงว่า นายกฯ บอกมีคนต้องการให้เกิดความไม่สงบในประเทสไทย อยากถามว่าใคร คนไทยทุกคนอยากให้เกิดความสงบ แต่เกิดความไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม โพลระบุ นายกฯ ได้รับความนิยมกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับความนิยม 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ลองยุบสภาดูแล้วจะรู้เป็นอย่างไร เหตุการณ์วันที่ 13-15 เมษายน มีการสร้างเหตุการณ์ความเลวร้ายให้กลุ่มเสื้อแดง ตนไม่เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงทำอย่างนี้ ทหารออกมา 40 กองพัน รวมตำรวจทหารออกมานับหมื่นคน เป็นปฏิวัติเงียบ คนที่มือเปื้อนเลือดอยู่ไม่ได้ จะสั่งการอย่างไร ใช้อำนาจบาตราใหญ่ขนาดใหญ่ไม่สามารถสร้างศรัทธามให้ประชาชนได้ อยากถามนายกฯ ว่ารู้จักการให้อภัยหรือไม่ อย่าเอาแต่ป้ายสี กีฬามีรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย แต่นี่กลับมีแต่ตามล้าง ตามล่า ระบุทุจริต ทั้งลูกเมีย ครอบครัว ระวังกรรมมีจริงและตามทันเร็ว
นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าความรุนแรงมีอยู่จริง แต่เมื่อรัฐบาลไม่ได้ใช้ความรุนแรงโต้ตอบ แม้จะมีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็ต้องชื่นชมว่าเป็นการใช้กำลังทหารออกมารักษาสถานการณ์โดยไม่มีประชาชนเสียชีวิต ตนผ่านเหตุการณ์ต่อสู้ทางการเมืองมาหลายครั้ง ครั้งนี้มีความต้องการให้ใช้ความรุนแรง และให้รัฐบาลรับผิดชอบ มีคนอยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง นิรโทษกรรม เพื่อกลับมาสู่วงการเมืองอีก แต่ปรากฎว่าไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ทั้งที่ความรุนแรงเกิดขึ้นและเกิดการจลาจลแล้เว
นายชำนิ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เพราะยุทธศาสตร์การต่อสู้ของ 14 ตุลา ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่มีผลประโยชน์ไม่ได้เรียกร้องเพื่อตนเอง แต่ครั้งนี้มีคนอยากให้จบแบบเหตุการณ์ 17 พ.ค.35 ที่ต้องเสียเลือดเนื้อ แล้วต้องปฏิรูปการเมืองในที่สุด วันนี้มีความพยายามไล่ล่านายกฯ ลอบฆ่าองคมนตรี รวมถึงลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นวิกฤตทางการเมืองที่จะหาข้อยุติไม่ได้ หากปล่อยไป เป็นปัญหาการลุกขึ้นสู้ในเมืองเผชิญหน้ากัน ทำให้วันนี้ประเทศเกิดสถานการณ์ร่วม 2 ด้าน คือ ปัญหาที่ไทยร่วมกับสากลคือวิกฤติเศรษฐกิจที่โลกได้รับผลกระทบ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ออกไปต่างประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา และสถานการณ์การเผชิญหน้าภายในประเทศของประชาชน แต่ตราบใดที่การเมืองมีการเอาประเทศและประชาชนเป็นตัวประกันหรือมาต่อรอง ประเทศนั้นจะไม่สามารถเดินต่อไปได้
นายชำนิ กล่าวว่า ตนขอเสนอทางแก้วิกฤต 3 ประการคือ 1. ต้องยอมรับว่าประเทศเสียความเชื่อมั่นไปนานแล้ว ด้วยเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาคอร์รับชั่น และผลประโยชน์ทับซ้อนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงนอกระบบโดยรัฐประหาร ซึ่งสมาชิกรัฐสภาและประชาชนต้องร่วมกันเรียกความเชื่อมั่นของประเทศกลับคืนมา ไม่ว่าใครต้องไม่ขัดขวางการทำหน้าที่ในการเรียกความเชื่อมั่น 2. ต้องร่วมกันนำการประชุมอาเซี่ยนและคู่เจรจากลับมาให้เร็วที่สุด โดยประกาศวันประชุมที่ชัดเจน ซึ่งตนเชื่อว่าคราวนี้คนไทยจะไม่ยอมให้ใครมาล้มการประชุมอีกแล้ว และ 3. ต้องร่วมกันแก้วิกฤตการเมืองที่ผ่านมา เวลาใส่เสื้อสีหนึ่งก็เรียกร้องให้ล้มอำมาตย์ธิปไตย แต่เวลาใส่สูทกลับเรียกร้องให้ยุบสภา ถือว่าไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่แท้จริง ไม่ใช่ทางออกจากวิกฤต แต่เป็นความปรารถของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นข้อเรียกร้องที่สุดขั้ว ไม่สามารถทำสำเร็จได้ เช่นการให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 50 และหันมาใช้รัฐธรรมนูญปี 40 การให้ยกเลิกกฎหมายลูก องค์กรอิสระ และเปลียนบุคคลในองค์กรอิสระ เพราะต้องการให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อล้างมลทิน
“ผมเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเป็นผลพวงมาจากการปฏิรูปการเมือง วันนี้เราต้องพักการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่ควรตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองขึ้น เพื่อสร้างกระบวนการความเห็นพ้องต้องกันในการแก้ไขปัญหา ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมเป็นฉันทามติว่าจะแก้ไขอย่างไร ต้องยอมรับว่าไม่ว่าเราจะมาจากภาคส่วนไหนก็จะไม่มีบุคคลที่ดีเลิศ แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยความปรารถนาของบุคคลของฝ่าย” นายชำนิ กล่าว
ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ในฐานะที่เคยรับราชการทหารรู้สึกหดหู่เศร้าสลด และขมขื่นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เพราะไม่มีผู้ใดชนะ หรือบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายของบ้านเมือง โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ขอวิงวอนทุกฝ่ายสร้างสมานฉันท์ อย่างไรก็ตามขอชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ทั้งนี้ตนขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและเยียวยาสังคมคือ รัฐบาลต้องหยุดไล่ล่าออกหมายจับผู้ชุมนุมที่มาร่วมชุมนุมทั่วประเทศแบบหว่านพืช เพราะจะทำให้เกิดความร้าวฉานมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย ที่สำคัญต้องยกเลิกการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยฉับพลันเพื่อเรียกความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลต้องมุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักเมตตาธรรม ไม่เช่นนั้นประเทศอาจจะล่มจมจนกู่ไม่กลับ และรัฐบาลต้องเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าควรแก้ไขในประเด็นหลัก ๆ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เหมาะสม โดยต้องแก้ไขไม่มาก ขอให้ประชาชนที่มีหัวใจเป็นคนไทยร่วมกันนำประเทศไทยกลับสู่สยามเมืองยิ้มอีกครั้ง
ขณะที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เพชรบุรีซอน 5 และ 7 สามเหลี่ยมดินแดง พัทยา เป็นเหตุการณ์ที่มีการจัดฉากเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ประชาชนออกมาต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีผู้อยู่เบื้องหลัง โดยในบางท้องที่มีสมาชิกสภาเขต กทม.เข้าร่วมด้วย ทั้ง ๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีเจตนาที่จะเข้าประหัดประหารประชาชน เพราะการต่อต้านอำนาจรัฐมีความจำเป็นที่จะต้องหาแนวร่วมมาก ๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะทำร้ายประชาชน
“นายกฯก็มีความจริงของนายกฯ ผมก็มีความจริงของผม ต่างคนก็ต่างมีความจริง ดังนั้นเพื่อลดความแคลงใจซึ่งกันและกัน อยากให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมกาขึ้นมาพิสูจน์ความจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเราจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ถ้าตราบยังมีความแคลงใจกันอยู่” นายชลน่าน กล่าว
น.พ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความพยายามจะควบคุมสื่อ โดยเฉพาะสื่อของรัฐทำหน้าที่ได้แย่มาก มีการเอาคนที่เป็นปรปักษ์กับฝ่ายตรงข้าม และคนที่เชียร์รัฐบาลออกรายการ รวมถึงอยากให้ชี้แจงว่าเป็นจริงหรือไม่ที่มีการเชิญบรรณาธิการข่าวมาขอความร่วมมือเพื่อให้การนำเสนอข่าวเป็นไปตามแนวทางของรัฐบาล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลคืนสิทธิเสรีภาพให้สื่อมวลชนด้วย
“นอกจากนี้ยังมีการนำศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไม่ถูกต้อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดกรณีที่ยูเออี ที่ประกาศห้ามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศ วันนี้สะใจกันหรือยัง เพราะมีการปลุกปั่นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องกับการทำร้ายศาสนาอิสลามในหลาย ๆ ครั้ง ถึงเวลาแล้วที่ควรจะเลิกพฤติกรรมลักษณะนี้” ส.ส.น่าน กล่าว
น.พ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องรัฐบาลให้ร่วมมือกับทุกฝ่ายออกจากอำนาจนอกระบบเพื่อให้พวกเรามีอำนาจที่เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง โดยนายกฯประกาศลาออก พรรคเพื่อไทยก็จะไม่เป็นนายกฯ และหลังจากที่ตั้งรัฐบาลเสร็จแล้วให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ทุกฝ่ายเข้าร่วม
“วันนี้รัฐบาลเป็นเหมือนไก่เหลือง พรรคเพื่อไทยเป็นเหมือนไก่แดง และยังมีไก่ขาวเข้ามาอยู่ในสุ่มเดียวกัน ซึ่งเป็นสุ่มเหล็กจิกตีกันมาตลอด หนำซ้ำยังมีไก่เขียวเข้ามาบงการอีก ทำไมเราจะต้องมาอยู่ในสุ่มนี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องผลักดันตัวเองออกมาจากสุ่มนี้ให้ได้” น.พ.ชลน่าน กล่าว
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะแทรกแซงสื่อ เพราะการทำงานของสื่อเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีสิทธิเสรีภาพโดยปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ ส่วนเรื่องที่มีการระบุว่ารัฐบาลขอความร่วมมือกับบรรณาธิการข่าวนั้นเป็นเพียงแค่ขอให้เพิ่มพื้นที่ที่เป็นสาระให้มากขึ้นเพื่อใช้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งนี้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นในการที่ต้องมีกลไกเพื่อให้มีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่สมดุล ไม่ใช่เป็นการสื่อสารด้านเดียว โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการคิดกลไกเพื่อเชิญให้ทุกฝ่ายเข้ามากำหนดรูปแบบร่วมกันต่อไป
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า จากการที่ตนได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นตัวแทนร่วมกับเจ้าหน้ากระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต เพื่อประสานกับยูเออี เกี่ยวกับการดำเนินการขอความร่วมมือถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีการชุมนุม และติดตามเรื่องคดีอาญาที่ถูกศาลฎีกาสั่งจำคุม และติดตามเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยตนได้เดินทางไประหว่างวันที่ 19-21 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับอย่างเป็นทางการรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตว่า ทางรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรต ได้แจ้งให้พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบแล้วว่าไม่ประสงค์ให้อยู่ในประเทศเขาอีกต่อไป จึงขอให้เดินทางออกไป โดยเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ไม่ยินยอมให้ผู้ใดใช้ประเทศในการใส่ร้าย ก่อความไม่สงบในประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พร้อมกันนี้ทางยูเออี. ได้ส่งร่างข้อตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาด้วย ซึ่งได้มีการส่งร่างดังกล่าวไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้ว คาดว่าจะดำเนินการโดยเร็ว เพราะประเทศเขาเองก็มีคนร้ายฉ้อฉลอยู่ในประเทศไทย จึงต้องการให้ส่งตัวกลับเช่นกัน
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทยได้ลุกอภิปรายได้ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในการนำภาพผู้เสียชีวิต ภาพเหตุการณ์ และญาติผู้ชีวิต มาชี้แจงในสภา แต่นายประสพสุข บุญเดช ประธานในที่ประชุมได้แจ้งว่าประธาน ไม่อนุญาตได้ แต่นายวรวัจน์ พยายามอ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นและเชื่อว่าสื่อมไม่กล้านำเสนอ ถ้าสภาถูกปิดกั้น รัฐบาลจะเสียหายอย่างยิ่ง ทำไมต้องปิดกั้นในการให้ข้อมูลตนขอเอาเกียรติของสมาชิก
นายวรวัจน์ ได้โชว์ภาพศพรปภ.ที่ถูกฆ่าโยนน้ำ มาประกอบ โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้วินิจฉัยอนุมัติให้นำภาพที่นายวรวัจน์ เตรียมมาอภิปรายประกอบการอภิปรายในสภาจำนวน สามรายการ ประกอบด้วยภาพเหตุการณ์รุนแรง ทหารทำร้ายประชาชน ภาพทหารนั่งดูกลุ่มผู้ชุมนุมถูกมัดมือ ซึ่งอนุญาตให้เปิดได้ แต่คำสัมภาษณ์ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ด ไม่อนุญาตให้เปิดเพราะไม่มีความชัดเจนจึงไม่อนุญาตให้นำมาประกอบ า
จากนั้น นายวรวัจน์ พยายามที่นำรูปภาพขึ้นมาชูกลางที่ประชุม พร้อมทั้งระบุว่า รูปแค่นี้ทำไมต้องกลัวด้วยพร้อมทั้งยื่นภาพให้เพื่อนสมาชิกยื่นให้สื่อมวลชนดู โดยในภาพเป็นชายที่รอดชีวิตจากการสลายการชุมนุม รวมถึงภาพที่ชายคนหนึ่งกำลังกระชากผมคนเสื้อแดงที่เป็นผู้หญิง และภาพผู้หญิงนั่งไหว้ทหาร เพื่อพยายามโยงให้เห็นถึงความไร้มนุษยธรรม
หลังจากที่มีการถกเถียงกันเป็นเวลานา นประธานจึงได้มีการอนุญาตให้นายวรวจน์ เปิดคลิปวีดีโอภาพเหตุการณ์ โดยเริ่มจากการรายงานข่าวจากช่อง 7 กรณีพบผู้เสียชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 1 รายที่ถูกมัดแล้วโยนทิ้งแม่น้ำ จากนั้นเป็นภาพเจ้าหน้าที่ทหารใช้กำลังสลายการชุมนุมในช่วงเช้ามืด ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นสถานที่ได และเป็นภาพทหารใช้เชือกมัดชายร่างท้วมคนหนึ่ง พร้อมกับเข้ามาเตะและใช้ไม้หวดหลายครั้ง ก่อนที่จะตัดมาเป็นภาพชายไม่สวมเสื้อถูกมัดมือไขว่หลัง และจบลงด้วยภาพนิ่งของชายที่เสียชีวิตจากรายงานข่าวของช่อง 7 มาเปรียบเทียบกับชายที่ถูกทหารจับมือไขว่หลังและภาพชายไม่สวมเสื้อถูกจับมือมัดไขว่หลังนอนคว่ำหน้าบทท้องถนน ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายชุมนุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก ฉายคลิปวีดีโอเสร็จ นายวรวัจน์ ได้นำรูปชาย 1 คน โดยอ้างว่าบุคคลดังกล่าวได้อยู่ในเหตุการณ์อยู่บนรถยีเอ็มซี ที่ขนศพผู้เสียชีวิตประมาณ 10 คนที่เตรียมไปจังหวัดลพบุรี และได้กระโดดหนีออกมา จึงได้มาให้ข้อมูลกับตน พร้อมทั้งถามว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สื่อมวลชนและกรรมการสิทธิ์จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ทุกจุด ได้เริ่มเมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 13 ซึ่งได้เข้าดำเนินการตลอดทั้งวันและเลิกปฏิบัติการในเวลา 17.00 น.ส่วนกรณีที่มีการะบุผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ภรรยาผู้ตายให้ดยการโยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ เราเป็นสมาชิกด้วยกัน ควรจะมาพูดบนพื้นฐานของความจริง ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานวันเวลาชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ ตนพร้อมที่จะให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในทุกรณี ในการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ หากมีอะไรสงสัยก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน เรื่องนี้ไม่มีใครบิดเบือนได้ รวมทั้งเรียกร้องให้กรรมาธิการทั้งสองสภาได้ตรวจสอบอีกทางเพื่อนำมาเปรียบเทียบ ส่วนการนำภาพต่างๆ มาชี้แจงก็ไม่อยากให้เกิดการโต้แย้ง เพราประชาชนจะเข้าใจผิด
จากนั้นนายวรวัจน์ ได้นำภาพผู้เสียชีวิตจากเหตุการ์มาโชว์ในห้องประชุม ซึ่งเป็นภาพชายถูกมัดมือไขว่หลังด้วยเชือกที่ใช้ในราชการทหาร โดยยืนยันว่าจนถึงวันนี้มีการทำลายหลักฐานหมดแล้ว ซึ่งเชือกที่มัดมือผู้ตายมีใช้เฉพาะในวงการทหารเท่านั้น แต่ มีการเผาเชือกทำลายหลักฐานไปแล้ว จึงไม่สามารถหาหลักฐานได้ แต่หากอยากรู้ว่ามีคนตายจริงหรือไม่ตนพร้อมที่จะเปิดคลิปวีดีโอให้ดู รัฐบาลอย่าปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เพราะรัฐบาลพูดมาตลอดว่าไม่มีคนตาย
แต่นายสุเทพ ลูกขึ้นชี้แจงว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือพิสูจน์ความเป็นจริงทุกประการด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ รัฐบาลพร้อมที่จะให้ความกระจ่าง ต้องการให้ตรวจสอบเรื่องไหน รัฐบาลก็พร้อมที่จะดำเนินการ ตรวจสอบให้เกิดความกระจ่าง ทุกเรื่อง ทุกประเด็น ยืนยันว่าไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่คนเดียว
ส่วน ที่บอกว่าคนตายคนเป็นการ์ด นปช. จากบันทึกคำให้การของภรรยาผู้ตาย เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ สน.จตุจักร ยืนยันว่าตั้งแต่อยู่กินกันมา ผู้ตายไม่เคยไปเป็นการ์ด หรือมาร่วมชุมนุมให้กับสีใด เพราะไม่สนใจเรื่องการเมือง และในบ้านยังไม่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นคนเสื้อเหลืองหรือแดง
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ โต้ข้อกล่าวหาว่าไม่เอาใจใส่ต่อชีวิตของผู้ชุมนุมว่า ไม่เป็นความจริง เพราะครั้งแรกที่มีการพบศพที่แม่น้ำเจ้าพระยาตนได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและรายงานเข้ามา ซึ่งจากการรายงานพบว่าในคืนวันที่ 13 เม.ย.ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ เป็นข้อมูลที่รายงานมา จึงไม่เชื่อว่าเป็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพราะเลยจากวันที่ 13 ไปแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการปฏิบัติการสลายการชุมนุม หากมีข้อมูลพบการเสียชีวิต ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมมาร้องที่รัฐบาลได้ และยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปเยียวยา ส่วนภาพทางการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ที่ดินแดง เมื่อเสนอภาพเหล่านี้มา ตนได้สอบถามไปยัง ผบ.ทบ.ว่าเห็นภาพหรือไม่ ซึ่งต้องมีการดำเนินการสอบสวนต่อไป หากไม่มั่นใจในฝ่ายบริหาร สามารถเสนอให้องค์กรที่เป็นกลางก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาต่อไป
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตลอดฟังการอภิปรายที่ผ่านฟังแล้ว คิดว่า นายกฯ และรองนายกฯเเป็นพ่อพระเกินไป และเป็นมือปราบโจรไม่ได้ ควรจะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ให้หมด และขอให้ฝ่ายค้านเลิกหากินกับศพ รัฐบาลควรแสดงหลักฐานการตอกบัตรเข้าทำงานของผู้ตาย ว่า มีเข้าปฏิบติหน้าที่ รปภ.ในช่วง 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม ขณะที่ฝ่ายค้านอ้างว่าเป็นเวลาที่ไปขึ้นเวทีเป็นการ์ดให้ นปช.และข้อเท็จจริง มีการพบศพผู้ตายในเวลา 7 โมงเช้าของวันที่ 15 เม.ย.ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ได้จบลงแล้ว และภาพที่ผู้ตายมีเชือกใช้ในราชการทหารมัดหลังก็เป็นเพียงเชือกพลาสติกสีฟ้า อีกทั้งคลิปวิดีโอที่มีภาพทหารรุมทำร้ายชายใส่เสื้อดำก็เป็น1 ใน19 แกนนนำนปช.ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในการปราบจลาจลที่ต้องมีการใช้กำลัง
อย่างไรก็ตามไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าดึงฟ้าลงมาต่ำ เว็บไซต์หมิ่นสถาบันเปิดกันเป็นปีจับไมได้ แต่ทำไมรัฐบาลชุดนี้เข้าเพียง 3 เดือนสามารถจับได้ คนที่เอาเท้าวางในส่วนที่หมิ่นก็ถูกจับไปแล้ว มีความพยายามเรียกร้องให้เลิกระบอบองคมนตรี แต่ลืมพูดกันว่าระบอบทักษิณเลวร้ายอย่างไร หากผู้ตายเป็นฝีมือของทหารจริงต้องมีหลายบาดแผล แต่ผลพิสูจน์ศพมีบาดแผลเดียวที่ศีรษะ อย่าเอามาเป็นประโยชน์ทางกาเมืองโดยไม่ดูข้อเท็จจริง และพยายามทำให้รัฐบาลมือเปื้อนเลือด การกระทำของกลุ่มเสื้อแดงทำให้คนตกงานเพิ่มถึง 2 ล้านคน รัฐบาลไม่มีเงินจะไปอุ้ม การที่อ้างว่าคนส่วนใหญ่ต้องเสียสละเพื่อระบอบประชาธิปไตย อยากถามว่าประชาธิปไตยแบบไหนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายแบบนี้ อย่าปล่อยให้ความวุ่นวายต้องปล่อยให้คนทั้งประเทศมาตกนรก
นายวรวัจน์ กล่าวว่า ยืนยัน ตนไม่ได้หากินกับศพ และคนตายเป็นคนจังหวัดแพร่ ที่ตนเป็น ส.ส.อยู่คำให้การของภรรยาผู้ตายขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะถูกข่มขู่ แต่ญาติพี่น้องของผู้ตายยืนยันว่าไปร่วมชุมนุมจริงและมีภาพประกอบอย่างชัดเจน ยืนยันว่ารัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการเปิดคลิปวิดีโออีกครั้ง จะได้เห็นความจริงและพฤติกรรมของรัฐบาล หากไม่มีความสามารถก็ลาออกไป พวกตนมีความสามารถที่จะทำแทนได้