ภารกิจประเมินสถานการณ์การเมืองแบบวันต่อวันสัปดาห์นี้ ขอให้จับตา พฤหัสฯ 28 ที่กำลังจะมาถึง
เงื่อนเวลาบังคับให้ต้องมีมติเรื่องบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ ในทางใดทางหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากเป็นไปร่างเดิม – ไม่บรรจุ ! กรณีนี้จะเป็นตัวแปรทางการเมืองที่มีน้ำหนักต่อการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 19 สิงหาคม 2550 ในทันที
วัดใหญ่เงินเยอะ ที่ก่อนนี้ยั้งลีลาดูท่าที ไม่เปิดไพ่สำคัญ จะกลายเป็นหัวขบวนสำคัญออกโรงเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐธรรมนูญใหม่
จะด้วยจงใจหรือไม่ แต่แนวทางดังกล่าวสอดรับกับ ม็อบสนามหลวงที่ได้ประกาศยุทธศาสตร์ “คว่ำ โค่น ล้ม” ไปก่อนหน้า
หากเป็นเช่นนั้น ปรากฏการณ์ทางการเมืองในภาพเปิดตลอดเดือนกรกฎาคมที่จะมาถึง ก็คือ การรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
กรณีม็อบพระยกระดับการขับเคลื่อนเป็นแค่ตัวแปรขยายผล
เพราะถึงที่สุดแล้ว แม้จะมีม็อบพระหรือไม่ก็ตาม
สถานีต่อไปที่อำนาจเก่ามุ่งขับเคลื่อนขบวนไป คือเป้าหมาย “คว่ำรัฐธรรมนูญ” ตามกำหนดเดิม
...........
เกมคว่ำรัฐธรรมนูญ กับ เกมเตรียมเลือกตั้ง เดินทางควบคู่ไปพร้อมกันได้
มีเวลาเหลือเพียงพอ..
เพราะถึงแม้จะคว่ำไม่ได้ในวันที่ 19 สิงหาคม และที่สมมติว่า ไม่สามารถจดชื่อชื่อพรรคไทยรักไทยได้..ก็ยังพอมีเวลาถมถืดที่จะหาพรรคสำรอง
และหันหัวเรือมาสู้ตามกติกาใหม่ เรียงเบอร์ 3 คน 400+80 ที่นั่ง
พิจารณาจากเงื่อนไขตามร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นว่าด้วยคุณสมบัติ ส.ส. ที่เคาะออกมาแล้ว
มาตรา 95 ผู้สมัครต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง
หมายความว่า หากใช้ 25 พฤศจิกายน เป็นเกณฑ์ บรรดานกแล อดีตดาวเคราะห์ ทั้งภาคเหนือ-อีสาน ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ 100-150 คนบวกลบ จะต้องหาพรรคใหม่ให้ได้ก่อน 25 สิงหาคม 2550 เพื่อมีสิทธิ์ลงเลือกตั้งปลายปี
ยกเว้นพวกถูกตัดสิทธิ์ และพวกต้องโทษในคดีอาญามาไม่ครบ 10 ปี
นับจากนี้ เกมการต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ จะแบ่งเป็น 4 แนวรบ พุ่งเข้าตีตามยุทธศาสตร์ “คว่ำ” รัฐธรรมนูญใหม่ และปูฐานเพื่อไปสู่การเลือกตั้งปลายปีพร้อมกัน
ทำไมต้อง “คว่ำ” ? ก็เพราะมันคือสัญลักษณ์ของอำนาจใหม่หากสำเร็จอำนาจต่อรองในกระดานของฝ่ายคว่ำจะเพิ่มขึ้นทันที ในอีกทางหนึ่งรัฐธรรมนูญนี้ยังมีเนื้อหาไม่เอื้อต่ออำนาจเก่า หากเป็นผลสำเร็จขึ้นมาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ คมช.ต้องปัดฝุ่น รัฐธรรมนูญปี 40 (ที่กติกาเอื้อต่ออำนาจเก่ามากกว่า) มาใช้
4 แนวรบที่ว่า ประกอบด้วย :-
แนวรบแรก -นปก.ม็อบสนามหลวง ที่แม้จะถดถอยอับจน แต่ก็พยายามดำรงตนให้อยู่รอด ซื้อเวลารอพลิกสถานการณ์
มีการปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ถึงขั้นหยิบประเด็นหมิ่นเหม่มาเล่น กรณีเทปลับคำสนทนาคน 3 คนนั้น เปรียบเทียบแล้วมีระดับอานุภาพเพียง ระเบิดแสวงเครื่องแรงดันต่ำ แต่หวังผลเลิศให้เป็น ปรมาณู
ด้วยการขยายผลอธิบายเชื่อมโยงไปถึงขั้นผลักให้ ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม และคมช. เป็นฝ่ายไม่จงรักภักดี แล้วตนเองก็สวมรอยอ้างเป็นฝ่ายปกป้องฯ
สำหรับชนชั้นกลางและผู้ติดตามข้อมูลแล้ว หมากการเมืองเกมนี้ ก็แค่เกมใส่ไฟ ป้ายสี
แต่สำหรับคนที่ไม่ติดตามข้อมูลในชนบทซึ่งเป็นฐานคะแนนสำคัญ แม้จะถูกสกัดไม่ให้ชุมนุม แต่ทหารก็คงไม่สามารถห้ามเทป-ซีดี. ไปเปิดดูในบ้านได้ – นี่สิของต้องระวัง !
แนวรบข้อมูลข่าวสารนั้น ยิ่งปิด-ยิ่งอันตราย
การเอาชนะในแนวรบนี้ดีที่สุด คือ ใช้พลังของข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เหนือกว่าผ่านช่องทางที่ได้เปรียบอยู่แล้วเท่านั้น
การเอาชนะข่าวลือ มิใช่ การไปสั่งห้ามคนพูด
ข่าวลือลักษณะนี้ หากโหมประโคมลงไปในพื้นที่ เป้าหมายแรกที่จะเก็บเกี่ยวก็คือการกระตุ้นมวลชนของตนให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
แนวรบที่สอง-แนวรบข้อมูลข่าวสาร
อย่าลืมว่าในสังคมไทยมีกลุ่มผู้ปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญ 50 โดยบริสุทธิ์ใจสามารถอธิบายได้ในเชิงวิชาการและอุดมการณ์จำนวนหนึ่ง
ในจำนวนนี้มีบิ๊กเนม เป็นที่รู้จักกว้างขวางมีอิทธิพลต่อความคิดคนอยู่จำนวนหนึ่ง
คนกลุ่มนี้จะเคลื่อนไหวถี่ขึ้นในเดือนกรกฎาคมหลังจากร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครบเต็มฉบับ
สามารถใช้แนวรบข้อมูลข่าวสารในทางเปิด ตอกย้ำ “เหตุผลการปฏิเสธรัฐธรรมนูญ” ผ่านช่องทาง “สื่อที่เป็นมิตร” กับอำนาจเก่า
แม้การเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับม็อบสนามหลวง หรือ นักการเมือง แต่การทำซ้ำ และขยายผลโดยจงใจก็เป็นช่องทางหนึ่ง
แนวรบที่สาม –ทักษิณ ชินวัตรกับฐานมวลชนเดิม
ต้นทุนที่เป็นสมบัติสำคัญของอำนาจเก่าคือ คะแนนเสียงและความจงรักภักดีจากฐานมวลชนไทยรักไทย
แม้ไม่ถึง 14 ล้านเสียงตามอ้าง แต่ก็มองข้ามไม่ได้
ข่าววงในที่ไม่ลับนักระบุว่าเรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทยรู้ดีทีเดียว เพราะเพิ่งจะทำโพลสำรวจความนิยมเป็นการภายในไปหมาดๆ ...ผลออกมาทำให้ฝ่ายความมั่นคงถึงกับสะอึก เพราะบางพื้นที่โดยเฉพาะเหนือ-อีสาน บางจุดแตะระดับ 80%
ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังเคลื่อนไหวไปมา ผ่านสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะของเล่นล่าสุดที่เมืองแมนเชสเตอร์นั้น เป็นข่าวสารที่ถูกส่งตรงผ่านจอโทรทัศน์มายังบ้านทุกหลังคาเป็นปกติ
แนวรบที่สี่ –การเตรียมการลงสู้ในสนามเลือกตั้งของอำนาจเก่า
นับจากนี้ การเตรียมลงเลือกตั้ง คือแนวรบหลักของระบอบทักษิณ
ไม่ว่าทักษิณ-พจมาน จะอยู่เมืองไทยหรือไม่ หรือจะถูกข้อหาอีกกี่คดี-ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์ใหญ่
ยุทธศาสตร์ “คว่ำ” ที่กำลังจะเริ่มดำเนินการนั้น เป็นเกมไม่ใช่เกมได้เสียแบบหมดตัก (Zero-sum game) เพราะถึงแม้รัฐธรรมนูญจะผ่าน แต่แค่ทำให้เสียงไม่เห็นด้วยมีจำนวนมากพอก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองต่อได้
ขบวนการต่อต้านอำนาจรัฐใหม่ ที่เริ่มมานับจาก 19 กันยายน 2549 ใช้เม็ดเงินมหาศาล ผ่านช่องทางต่างๆ ประมาณแล้วต้องเกินหลักพันล้านอย่างแน่นอน
นี่คือการลงทุน !!
ไหนๆ ก็ควักจ่ายไปมากโขแล้ว....
นิสัยพ่อค้าลงทุนไม่ควรสูญเปล่า แม้จะล้ม คมช.ไม่ได้ตามเป้าเดิมแล้ว.. แต่อย่างน้อยแปรเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวเป็นฐานคะแนนที่ยังจงรักภักดี หรือเป็นตัวเลขในเชิงปริมาณของคนไม่เอารัฐธรรมนูญให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อจะนำมาใช้ต่อในทางการเมือง-ย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน
สัญญาณการเตรียมการเพื่อรวบรวมไพร่พลสู่การเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่เรื่องลับ ก่อนนี้มีแค่ร่องรอยให้ติดตาม แต่นับจากการอายัดทรัพย์ 11 มิถุนายนเป็นต้นมา การเตรียมการเพื่อต่อสู้ในเวทีการเมืองใหญ่เริ่มชัดเจนเป็นลำดับ
ขนาดที่ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ต้องออกหน้าเจรจากับ อดีตแกนนำคนสำคัญที่เคยอยู่ข้างกายทักษิณให้ออกมาเป็น ขุนพลแถวหน้าในทางเปิด –อีกทางหนึ่งส่งสัญญาณสกัดเลือดไหลออกไม่ให้ต้นทุนนักเลือกตั้งในมือไปอยู่กับพรรคใหม่พรรคอื่น
ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับสถานการณ์นายใหญ่อับจนเช่นนี้
มีเพียงบรรดา ส.ส.นกแล และส.ส.ดาวเคราะห์ทั้งนั้นที่อยู่ในมือ ส่วนดาวฤกษ์ รวมทั้งนักเลือกตั้งที่ใกล้ชิด “ทุน” ทั้งทุนชาติ และทุนภูมิภาคออกอาการลังเลแทบทั้งสิ้น
เพราะรู้แล้วว่า การเมืองสนามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นนั้นพรรคที่กำลังก่อรูปพรรคนี้อย่างเก่งก็แค่หาพื้นที่การเมืองซื้อเวลาพลิกสถานการณ์ในอนาคตเท่านั้น
โอกาสโต .. น้อยมาก
จึงปรากฏชื่อของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ออกมาผ่านสื่อมวลชน – แท้จริงแล้วไม่ได้มีเบื้องหลังลึกลับอะไรหรอก เป็นความจงใจปล่อยชื่อนี้ออกมาเพื่อรักษาโรคเลือดไหลออก
ประกาศชื่อแม่เหล็กคนวงในชินวัตรขึ้นมาแก้ปัญหาระส่ำระสายภายใน-เป็นหลัก
แต่สำหรับวงในของคนการเมืองแท้ๆ “แม่เหล็ก”ที่แท้จริงสำหรับการทำการเมืองระยะยาว เพื่อให้พรรคอยู่รอด และเป็นทางออกทางการเมืองในอนาคต มีชื่อของ “บุญคลี ปลั่งศิริ” ผุดขึ้นมา
บุญคลี..นั้น ธุรกิจก็ได้ –การเมืองก็เป็น –สายสัมพันธ์ก็มี
เวลานี้สิ่งประโลมใจของขบวนอำนาจเก่า ประเภทที่เล่ากันจากปากสู่ปาก ...จากวงกาแฟไปสู่อีกวงสนทนา ไม่ใช่ สมชาย ที่เป็นหัวหน้าพรรค แต่เป็น บุญคลี ในฐานะเลขาธิการพรรค ...ในฐานะผู้เป็นหลักประกันความมั่นคงภายหน้า
ถามว่า โอกาสทางการเมืองในสนามเลือกตั้งของขั้วอำนาจเก่าภายใต้การนำของ 2 เจ๊ ผนวกกับ 2 หมอจันทร์ส่องหล้าและ 1 กุนซือเขมร จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร ?
ตอบได้เพียงว่า นี่เป็นเกมที่ถูกบังคับให้เล่น และต้องเล่นให้ดีที่สุด แม้รู้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะในระยะเวลาอันใกล้นี้
ตัวเลขกลมๆ นกแล 100 กว่าตัวในมือ กับระยะเวลาที่สามารถพลิกผันได้อีกตลอด 4 เดือนนี้ ยังจำเป็นต้องอ่านการขับเคลื่อนของอำนาจเก่าต่อ.