แม้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญในคดีที่อัยการสูงสุดได้ส่งคำร้องขอให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง จะออกมาในเวลา 13.30 – 15.30 น. วันนี้ – วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2550 - โดยกลุ่มคดีที่ 2 ที่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า เป็นผู้ถูกร้อง จะได้รับการอ่านก่อนเวลา 13.30 น. และกลุ่มคดีที่ 1 ที่พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย เป็นผู้ถูกร้อง จะเริ่มอ่านในเวลา 14.30 น. ที่ห้องออกนั่งพิจารณาคดี ชั้น 2 ศาลรัฐธรรมนูญ
แต่สถานการณ์การเมืองโดยรวมก็ดูเหมือน “คลายตัว” ลงในระดับสำคัญ
จนไม่น่าเชื่อว่าภายในวันสองวันนี้จะมี “เหตุร้าย” จากกลุ่มอำนาจเก่าที่อาจจะไม่ยอมรับในคำวินิจฉัย และถือโอกาสใช้เป็น “เงื่อนไข” ในการระดมมวลชนเข้ามาจุดชนวนก่อการ
ประการหนึ่ง มาจากกระแสพระราชดำรัสวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2550
ประการหนึ่ง มาจาก “นัย” ในการพูดจาต่อสาธารณะของบุคคลสำคัญ 2 คนจาก 2 ฟากฝั่งการเมือง คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ในประการหลังนี้เสมือนว่ามีการพูดคุยทำความเข้าใจและทำความตกลงกันในระดับสำคัญแล้ว
ว่า...จะร่วมกันเดินหน้าสู่ “การเลือกตั้ง” ปลายปีนี้
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา อ่านไม่ยาก การไปพูดที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2550 แทบไม่ต้องแปลความอะไรมากเลย แม้จะมีคำดุ ๆ ประเภทเตือนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามล้างแค้น หรือบอกว่าถ้าหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 25450 ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยอมจบ ไม่ยอมเลิกรา ก็อาจจะจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น
หากอยู่ที่ท่านพร้อมจะ “เปิดโอกาส” ให้นักการเมืองที่เคยมีส่วนร่วมกับระบอบทักษิณได้มีโอกาสทำความดีไถ่บาป ทำความดีแก้ตัว
ท่านบอกว่าได้มีการส่งสัญญาณมาแล้ว และท่านยังบอกเสมือนกับคาดเดาได้ว่า คมช. และรัฐบาลชุดนี้ จะ “ส่งมอบอำนาจ” ให้กับ “ใคร” หลังการเลือกตั้ง
ลองมาอ่านคำพูดต่อไปนี้กันนะ
"วันนี้ คมช.มีกรอบการทำงานชัดเจน ว่าจะส่งมอบการทำงานให้รัฐบาลใหม่ ต้องรู้ว่าส่งมอบให้กับใคร ไม่ใช่ใครที่ไหนก็มารับ ไม่อย่างนั้นที่ทำมาก็สูญเปล่า...
“จุดที่เราพูดว่าประชาธิปไตยอยู่ที่การเลือกตั้ง การเลือกตั้งสำคัญก็จริงแต่ไม่ใช่สาระที่สุด ทั้งหมดอยู่ที่จะให้ใครมาใช้อำนาจแทนเรา ต้องทำให้กลไกนั้นคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้"
ท่านบอกว่าการเมืองเมื่อผ่านวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 แล้ว ต้องดูว่าจะมีคลื่นลูกใหม่มีความพร้อมทำหน้าที่หรือไม่ หรือหลงเหลือจากคำพิพากษาแล้วมาจัดตั้ง
"หากท่านเหล่านั้นสำนึกและตระหนักว่า ความเสียหายที่ผ่านมาท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยกฎหมายท่านบริสุทธิ์แล้ว หากท่านขอโอกาสกลับมามีอำนาจ เรา - ทั้ง คมช.และคนในชาติทั้งหมด - ต้องสร้างพลัง แสดงพลังของความรู้สึกที่จริงจังว่า ท่านต้องเล่นการเมืองให้ต่างจาก 6 ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง ที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับคลื่นใต้น้ำเขาจะไม่ยอม ท่านจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกต่อไป"
ซึ่งก็เหมือนทำใจได้ว่ารัฐบาลต่อไปอาจจะต้องมีส่วนของนักการเมืองที่ร่วมรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ด้วย
ไม่เป็นไร – แต่จะต้อง “แก้ตัวใหม่” ไม่ให้เหมือนเดิม โดยจะมี “กองทัพ” และ “ประชาชน” เป็นพลังคอยควบคุมอยู่ !
"หลังเลือกตั้ง คมช.ก็จะประคับประคองสถานการณ์ที่ท้าทายอำนาจรัฐ เพื่อรอการกลับคืนแบบเบ็ดเสร็จเพื่อสร้างความวุ่นวาย เรื่องนี้ คมช.ยอมไม่ได้ การทำงานของเราก็เหมือนกับการส่งมอบงาน ทุกอย่างต้องเรียบร้อย เพราะหากไม่เรียบร้อยผมขี้เกียจกลับมาแก้"
เมื่อได้รับคำถามจากผู้สื่อข่าวว่า หากได้รัฐบาลที่ไม่พึงประสงค์ จะทำอย่างไร ผช.ผบ.ทบ.หนึ่งในแคนดิเดทผบ.ทบ.คนต่อไป กล่าวอย่างสุขุมและมีนัยชัดเจนว่า
“คำว่าไม่พึงประสงค์ ประชาชนต้องเป็นคนตัดสิน...”
แทบไม่ต้องแปล ก็บอกได้ว่าท่านฝากให้ผลการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสิน
“กติกาเราทำให้มีทางเลือก ไม่ใช่ภาวะจำยอมอีกต่อไป และที่ผ่านมาก็มีนักการเมืองส่งสัญญาณใจว่าขอโอกาสทำความดีอีกครั้ง”
จากพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เรามาดูที่นายสมศักดิ์ เทพสุทินกันบ้างที่พูดจาแสดงท่าทีชัดเจนใน 1 วันให้หลัง
ว่าที่เลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย (??) ที่มีจุดขายอยู่ที่ตัวดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ในฐานะหนึ่งในแคนดิเดทว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง วิเคราะห์ผลการวินิจฉัยคดียุบพรรคเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในใจ คมช. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อย่างเบ็ดเสร็จเลยว่า...
หากภายหลังการตัดสินยุบพรรคแล้ว ยังคงมี 2 ขั้วอำนาจเหมือนแบบเก่าก็จะก่อให้เกิดความแตกแยกเหมือนเดิม แต่ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วทำให้การเมืองแบ่งออกเป็น 3 - 4 ขั้ว จะเป็นแนวทางที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันท์
เหมือนจะบอกความต้องการว่ายุบพรรคไทยรักไทยไม่เป็นไร ขอเพียงกรรมการบริหารพรรคไม่โดนตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีทุกคนยกครอกก็แล้วกัน
โดยย้อนไปอรรถาธิบายสถานการณ์ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2550 ว่าการเมืองไทยแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว คือ พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง (ไทยรักไทย) กับที่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง (ประชาธิปัตย์, ชาติไทย และมหาชน) ดังนั้นถ้าแตกตัวออกเป็น 3 - 4 ขั้ว ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าจะลดลง
พร้อมทั้งแสดงความไม่เห็นด้วยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้
และยืนยันข่าวโรงแรมชั้น 2 ชั้น 3 ในกทม.เต็มหมด เหมือนจะบอกว่าคลื่นใต้น้ำไหลบ่าเข้าเมืองหลวงตามข่าวที่ออกมาจากผู้ใหญ่ของ คมช. ก่อนหน้า
ใคร ๆ ก็รู้ว่าผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นของ คมช. ติดต่อสัมพันธ์กับนักการเมืองของพรรคไทยรักไทยหลายกลุ่ม
และแม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็พอใจในฝีไม้ลายมือของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และมีสัมพันธ์กันมานาน
พรรคประชาธิปัตย์ไม่เสียหายอะไร เพราะได้เปรียบพอสมควรในผลการเลือกตั้งอยู่พอสมควร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ยังเร็วเกินกว่าจะประเมิน แต่ได้ร่วมรัฐบาลแน่ในสภาวะ 3 – 4 ขั้วเช่นนี้
แน่นอนว่าหากเป็นไปตามนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคที่ยังภักดี ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่ก็ไม่เสียหายไปมากกว่าเดิม
ยังมีความหวังตรงที่ได้รอ “ลุ้น” ผลการเลือกตั้งด้วยว่าพลพรรคที่ยังภักดีจะเข้ามาสักกี่คน
หรือจะ “จัดหา” ในภายภาคหน้าได้สักกี่คน
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ "คมช."และ "นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" อยากให้เป็น
แต่ความเป็นจริง จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ไม่มีใครทราบ เพราะไม่มีใครสักคน ที่จะรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้า
แต่สถานการณ์การเมืองโดยรวมก็ดูเหมือน “คลายตัว” ลงในระดับสำคัญ
จนไม่น่าเชื่อว่าภายในวันสองวันนี้จะมี “เหตุร้าย” จากกลุ่มอำนาจเก่าที่อาจจะไม่ยอมรับในคำวินิจฉัย และถือโอกาสใช้เป็น “เงื่อนไข” ในการระดมมวลชนเข้ามาจุดชนวนก่อการ
ประการหนึ่ง มาจากกระแสพระราชดำรัสวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2550
ประการหนึ่ง มาจาก “นัย” ในการพูดจาต่อสาธารณะของบุคคลสำคัญ 2 คนจาก 2 ฟากฝั่งการเมือง คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ในประการหลังนี้เสมือนว่ามีการพูดคุยทำความเข้าใจและทำความตกลงกันในระดับสำคัญแล้ว
ว่า...จะร่วมกันเดินหน้าสู่ “การเลือกตั้ง” ปลายปีนี้
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา อ่านไม่ยาก การไปพูดที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2550 แทบไม่ต้องแปลความอะไรมากเลย แม้จะมีคำดุ ๆ ประเภทเตือนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามล้างแค้น หรือบอกว่าถ้าหลังวันที่ 30 พฤษภาคม 25450 ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ยอมจบ ไม่ยอมเลิกรา ก็อาจจะจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น
หากอยู่ที่ท่านพร้อมจะ “เปิดโอกาส” ให้นักการเมืองที่เคยมีส่วนร่วมกับระบอบทักษิณได้มีโอกาสทำความดีไถ่บาป ทำความดีแก้ตัว
ท่านบอกว่าได้มีการส่งสัญญาณมาแล้ว และท่านยังบอกเสมือนกับคาดเดาได้ว่า คมช. และรัฐบาลชุดนี้ จะ “ส่งมอบอำนาจ” ให้กับ “ใคร” หลังการเลือกตั้ง
ลองมาอ่านคำพูดต่อไปนี้กันนะ
"วันนี้ คมช.มีกรอบการทำงานชัดเจน ว่าจะส่งมอบการทำงานให้รัฐบาลใหม่ ต้องรู้ว่าส่งมอบให้กับใคร ไม่ใช่ใครที่ไหนก็มารับ ไม่อย่างนั้นที่ทำมาก็สูญเปล่า...
“จุดที่เราพูดว่าประชาธิปไตยอยู่ที่การเลือกตั้ง การเลือกตั้งสำคัญก็จริงแต่ไม่ใช่สาระที่สุด ทั้งหมดอยู่ที่จะให้ใครมาใช้อำนาจแทนเรา ต้องทำให้กลไกนั้นคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้"
ท่านบอกว่าการเมืองเมื่อผ่านวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 แล้ว ต้องดูว่าจะมีคลื่นลูกใหม่มีความพร้อมทำหน้าที่หรือไม่ หรือหลงเหลือจากคำพิพากษาแล้วมาจัดตั้ง
"หากท่านเหล่านั้นสำนึกและตระหนักว่า ความเสียหายที่ผ่านมาท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยกฎหมายท่านบริสุทธิ์แล้ว หากท่านขอโอกาสกลับมามีอำนาจ เรา - ทั้ง คมช.และคนในชาติทั้งหมด - ต้องสร้างพลัง แสดงพลังของความรู้สึกที่จริงจังว่า ท่านต้องเล่นการเมืองให้ต่างจาก 6 ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง ที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับคลื่นใต้น้ำเขาจะไม่ยอม ท่านจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกต่อไป"
ซึ่งก็เหมือนทำใจได้ว่ารัฐบาลต่อไปอาจจะต้องมีส่วนของนักการเมืองที่ร่วมรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ด้วย
ไม่เป็นไร – แต่จะต้อง “แก้ตัวใหม่” ไม่ให้เหมือนเดิม โดยจะมี “กองทัพ” และ “ประชาชน” เป็นพลังคอยควบคุมอยู่ !
"หลังเลือกตั้ง คมช.ก็จะประคับประคองสถานการณ์ที่ท้าทายอำนาจรัฐ เพื่อรอการกลับคืนแบบเบ็ดเสร็จเพื่อสร้างความวุ่นวาย เรื่องนี้ คมช.ยอมไม่ได้ การทำงานของเราก็เหมือนกับการส่งมอบงาน ทุกอย่างต้องเรียบร้อย เพราะหากไม่เรียบร้อยผมขี้เกียจกลับมาแก้"
เมื่อได้รับคำถามจากผู้สื่อข่าวว่า หากได้รัฐบาลที่ไม่พึงประสงค์ จะทำอย่างไร ผช.ผบ.ทบ.หนึ่งในแคนดิเดทผบ.ทบ.คนต่อไป กล่าวอย่างสุขุมและมีนัยชัดเจนว่า
“คำว่าไม่พึงประสงค์ ประชาชนต้องเป็นคนตัดสิน...”
แทบไม่ต้องแปล ก็บอกได้ว่าท่านฝากให้ผลการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสิน
“กติกาเราทำให้มีทางเลือก ไม่ใช่ภาวะจำยอมอีกต่อไป และที่ผ่านมาก็มีนักการเมืองส่งสัญญาณใจว่าขอโอกาสทำความดีอีกครั้ง”
จากพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เรามาดูที่นายสมศักดิ์ เทพสุทินกันบ้างที่พูดจาแสดงท่าทีชัดเจนใน 1 วันให้หลัง
ว่าที่เลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย (??) ที่มีจุดขายอยู่ที่ตัวดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ในฐานะหนึ่งในแคนดิเดทว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง วิเคราะห์ผลการวินิจฉัยคดียุบพรรคเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในใจ คมช. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อย่างเบ็ดเสร็จเลยว่า...
หากภายหลังการตัดสินยุบพรรคแล้ว ยังคงมี 2 ขั้วอำนาจเหมือนแบบเก่าก็จะก่อให้เกิดความแตกแยกเหมือนเดิม แต่ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วทำให้การเมืองแบ่งออกเป็น 3 - 4 ขั้ว จะเป็นแนวทางที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันท์
เหมือนจะบอกความต้องการว่ายุบพรรคไทยรักไทยไม่เป็นไร ขอเพียงกรรมการบริหารพรรคไม่โดนตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีทุกคนยกครอกก็แล้วกัน
โดยย้อนไปอรรถาธิบายสถานการณ์ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2550 ว่าการเมืองไทยแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว คือ พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง (ไทยรักไทย) กับที่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง (ประชาธิปัตย์, ชาติไทย และมหาชน) ดังนั้นถ้าแตกตัวออกเป็น 3 - 4 ขั้ว ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าจะลดลง
พร้อมทั้งแสดงความไม่เห็นด้วยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้
และยืนยันข่าวโรงแรมชั้น 2 ชั้น 3 ในกทม.เต็มหมด เหมือนจะบอกว่าคลื่นใต้น้ำไหลบ่าเข้าเมืองหลวงตามข่าวที่ออกมาจากผู้ใหญ่ของ คมช. ก่อนหน้า
ใคร ๆ ก็รู้ว่าผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นของ คมช. ติดต่อสัมพันธ์กับนักการเมืองของพรรคไทยรักไทยหลายกลุ่ม
และแม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็พอใจในฝีไม้ลายมือของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และมีสัมพันธ์กันมานาน
พรรคประชาธิปัตย์ไม่เสียหายอะไร เพราะได้เปรียบพอสมควรในผลการเลือกตั้งอยู่พอสมควร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ยังเร็วเกินกว่าจะประเมิน แต่ได้ร่วมรัฐบาลแน่ในสภาวะ 3 – 4 ขั้วเช่นนี้
แน่นอนว่าหากเป็นไปตามนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคที่ยังภักดี ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่ก็ไม่เสียหายไปมากกว่าเดิม
ยังมีความหวังตรงที่ได้รอ “ลุ้น” ผลการเลือกตั้งด้วยว่าพลพรรคที่ยังภักดีจะเข้ามาสักกี่คน
หรือจะ “จัดหา” ในภายภาคหน้าได้สักกี่คน
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ "คมช."และ "นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" อยากให้เป็น
แต่ความเป็นจริง จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ไม่มีใครทราบ เพราะไม่มีใครสักคน ที่จะรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้า