xs
xsm
sm
md
lg

จับตาหลังวันเด็ก ชี้ขาดเก้าอี้ ผบ.ตร.

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง


•• ยอมรับว่าออกจะเป็นงง เล็ก ๆ ที่ในเมื่อด้านหนึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประกาศออกมาให้ประชาชน ตกใจ เองว่าประเทศไทยของเรากำลังเผชิญ ภัยในรูปแบบใหม่ เหตุร้ายเหตุระเบิดอาจจะ เกิดขึ้นอีกในรอบ 2 เดือนนี้ และมาตรการแก้ปัญหาขั้นเด็ดขาดต่าง ๆ ทั้งตาม กฎหมายเก่า และ (ข้อเสนอให้มี)กฎหมายใหม่ – ชนิดที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แม้กระทั่ง มาตรการทางการบริหาร ก็ยัง ไม่คลอด แต่อีกด้านหนึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นอกจากจะ ไม่เลิกจัดงานวันเด็ก ในสองสามวันข้างหน้า วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2550 แล้วยังย้ายสถานที่จัดจาก ภายในบก.ทบ. ออกมาข้างนอกที่ ลานพระราชวังดุสิต โดยประกาศว่าจะเป็น งานวันเด็กที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี – มีการโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ เท่านั้นยังไม่พอ พ.อ.หญิงคุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ยังจะยังคงจัด กิจกรรมงานเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าบรมราชินีนาถเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา ตามกำหนดเดิมในอีก 1 สัปดาห์ถัดไป วันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2550 ที่ ท้องสนามหลวง โดยตั้งเป้าจะให้มีประชาชนมาร่วมงานถึง 1 แสนคน โดยกล่าวถึงเรื่องความปลอดภัยทิ้งท้ายแต่เพียงว่า “...หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น.” รวมทั้งขอร้อง (แบบ โหลๆ) ให้ทุกฝ่าย สมานฉันท์ – เพื่อองค์พระประมุข เอ้า -- เมื่อรักกันแล้วสนับสนุนกันแล้วก็ไม่ว่ากัน “เซี่ยงเส้าหลง” ขอ หวังว่า... ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อย

•• แต่ขอไว้สักอย่างจะได้ไหมสำหรับงานวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2550 ที่ พ.อ.หญิงคุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ท่านแถลงไว้ว่า “...นายกรัฐมนตรีจะโชว์ฝีมือในการลวกเส้นปรุงก๋วยเตี๋ยวเนื้อ-หมู ให้กับประชาชนที่มาร่วมงานได้ชิมฟรีอีกด้วย.” บอกตามตรงว่า ไม่จำเป็น มันคลับคล้ายคลับคลา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้ง กินไก่โชว์กลางสนามหลวง อย่างไรชอบกล

•• เป็นอัน ล้มเลิก (อย่างน้อยก็ ชั่วคราว) ไปแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แจ้งการตัดสินใจให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รับรู้เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2550 ไม่เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อติดอาวุธมาตรการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทางกฎหมายให้แก่รัฐบาลและคมช. โดยเชื่อในทาง การข่าว, การวิเคราะห์ ว่าหากกระทำลงไปจะเป็น เงื่อนไขสำคัญ ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ ปลุกระดมมวลชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลและคมช.จนเกิดเหตุการณ์อย่างพฤษภาคม 2535 ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ รับฟังได้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อติดอาวุธมาตรการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทางกฎหมายให้แก่รัฐบาลและคมช.ครั้งนี้เชื่อว่าจะมีลักษณะใกล้เคียงกับ มาตรา 17, มาตรา 21 และ มาตรา 27 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรในอดีตรวม 4 ฉบับ ปี 2502, ปี 2515, ปี 2519 และ ปี 2534 ซึ่งถ้านำมาประยุกต์กับองค์กรของระบอบปัจจุบันข้อความก็น่าจะเป็นไปทำนองนี้ – วรรคหนึ่ง “...ในกรณีที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือนายกรัฐมนตรีเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงแห่งชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือการกระทำอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการกระทำอันเป็นการทำลายทรัพยากรของประเทศ หรือเป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) นี้ และไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรี หรือประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ด้วยความเห็นชอบของที่ประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติกับนายกรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือนายกรัฐมนตรีหรือคำสั่งหรือการกระทำที่ได้สั่งหรือกระทำร่วมกัน รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่ง ดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย.” และต่อด้วยวรรคสอง “...เมื่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือนายกรัฐมนตรีหรือประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีได้สั่งการหรือกระทำการใดไปตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อแจ้งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ.” (และอาจจะมีเพิ่มเติมอีกมาตราสองมาตราเพื่อ วางกรอบการใช้อำนาจในระดับหนึ่ง) อันที่จริงก็คงไม่ต้องมาคิดมากหากในชั้นต้นที่ร่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 จะได้ บรรจุไว้ ไม่ไป ดัดจริตทำเป็นรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ซึ่งสุดท้ายก็ ไม่เป็นผล, ไม่มีใครเชื่อ เรียกว่าตัดสินใจพลาดครั้งนั้น เสีย 2 เด้ง ทีเดียว

•• เมื่อ พลาด ไปแล้วก็ไม่เป็นไรแต่จะต้อง เก็บรับเป็นบทเรียน ต่อไปอย่าให้ความกังวลในเรื่อง การยอมรับจากโลกตะวันตก มาเป็นพันธนาการ จำกัดมาตรการที่จำเป็น ควรสู้หน้าอย่างกล้าหาญด้วยการชี้ให้เห็นถึง ลักษณะเด่น, ลักษณะพิเศษ ของสถานการณ์ที่นำมาเป็นชื่อของคณะผู้ก่อการ “...ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.” ซึ่งเป็น ลักษณะเฉพาะของชนชาติไทย จะเขียนรัฐธรรมนูญชั่วคราวและสร้างกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้วิลิศมาหราอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ โลกตะวันตกยอมรับได้ในทันที ตราบจนเมื่อมี การเลือกตั้งทั่วไป นั่นแหละพวกเขาจึงจะ เริ่มยอมรับ แต่ถ้าไปจำกัดมาตรการที่จำเป็นมากไปจนทำอะไรไม่ได้เต็มที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งในลักษณะที่จะ มีอำนาจล้นฟ้าล้นดินยิ่งกว่าเก่า เพราะจะอ้างได้ว่า ผ่านกระบวนการตรวจสอบหมดแล้ว – ขนาดอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จยังเอาผิดไม่ได้เลย จริงไหม

•• ฟันธงได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของ มาตรา 17 ยุคใหม่ ข้างต้นมีสูงสุดอยู่หนึ่งเดียวคือมีไว้เพื่อ ยึดทรัพย์อดีตนักการเมืองปล้นชาติ – ในกรณีที่เกิดความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดวงจรการก่อความไม่สงบโดยไม่อาจรอกระบวนการยุติธรรมตามปกติได้ เพราะการยึดทรัพย์อดีตนักการเมืองอดีตผู้นำในอดีตของบ้านเราที่เคยมีมา 3 ครั้ง ที่ประสบความสำเร็จไปได้ตลอดรอดฝั่งมีเพียง 2 ครั้ง เมื่อ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 และ วันที่ 1 สิงหาคม 2517 นั้นล้วนต้องอาศัย มาตรา 17 ทั้งสิ้น 1 ครั้งที่ล้มเหลวเมื่อ ปี 2534 นั้นก็เพราะใช้อำนาจของ คตส.(ยุคปี 2534) คงยังไม่ลืมกัน

•• แต่แม้จะยังไม่เสี่ยงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่ง มาตรา 17 ยุคใหม่ ก็ไม่ใช่จะ นิ่งเฉย เพราะ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยืนยันว่าจะ ใช้ทุกมาตรการตามกฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้ง มาตรการทางการบริหาร ไปให้ถึงที่สุดเสียก่อนแต่ ขอรอให้พ้นวันเด็กก่อน โดยเฉพาะเรื่องมาตรการทางการบริหารที่จะ โยกย้ายผู้รับผิดชอบ นั้นก็ยังมีเสียงรับรองออกมาในเย็นวันนั้นว่า มีแน่นอน ไม่ต้องวิตก

•• นั่นหมายถึงว่า เก้าอี้ ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ยังคง ไม่มั่นคง ในขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส นับวันยิ่งดู มีสง่าราศี แต่จะเป็นจริงเมื่อไรให้ประชาชนทั้งประเทศได้ เฮ นั้น ณ นาทีนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าก็ต้อง ไว้วางใจในวิจารณญาณของนายกรัฐมนตรี ไว้ก่อนคิดเสียว่าพวกเรา รอมาแล้ว 3 เดือน ถ้าจะ รอต่อไปอีกสัก 2 สัปดาห์ คงไม่เกินความอดทน

•• ก็ฝาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไว้ด้วยว่าถ้าจะให้ กระบวนการยุติธรรมตามปกติ เดินหน้าไปสู่เป้าหมาย ยึดทรัพย์โดยอำนาจของศาลยุติธรรม (กรณีนี้คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง) โดยไม่ต้องพึ่ง มาตรา 17 ยุคใหม่ ท่านก็ต้อง สั่งการในทางนโยบาย ลงไปที่ กระทรวงการคลัง, กระทรวงคมนาคม รวมทั้ง สำนักงานอัยการสูงสุด ให้เร่งสนับสนุน คตส. เร่งรับลูกจากคำขอของ นาม ยิ้มแย้ม โดยการเข้าไป กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ – คุณหญิงพจมาน ชินวัตรและบริษัทบริวาร ใน 2 คดีแรกที่ คตส.ชี้มูลความผิด เพื่อให้กระบวนการต่อไปในชั้น อนุกรรมการไต่สวน เดินหน้าต่อไปทันทีโดย ไม่สะดุด, ไม่เป็นสัญญาณที่แสดงความไม่เอาจริงเอาจัง และ ไม่เป็นสัญญาณแสดงความอ่อนแอของรัฐบาล พูดตามตรงว่าหากคดีผ่านไปถึง ขั้นตอนสุดท้าย ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง รับรองว่า ไม่ช้า เพราะ ณ วันนี้คณะตุลาการยังคงไม่ลืม พระราชดำรัส 25 เมษายน 2549 แม้แต่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น