โดย ท่าบางลำพู
คงไม่สายเกินไป !!หากจะหยิบยกคำสั่ง ( ตร.ที่ 855/2548 ) เพราะถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาให้แล้วว่า เป็น “กฏเหล็ก” โดยสาระสำคัญของคำสั่งว่าด้วย การสั่งห้ามตำรวจนำผู้เสียหาย ผู้ต้องหาและพยานออกมาให้ข่าว หรือแถลงข่าว รวมทั้งห้ามสื่อมวลชนถ่ายภาพทำข่าวผู้ต้องหาที่อยู่ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพอย่างเด็ดขาด
แม้ผบ.ตร.จะแย้งว่า จุดประสงค์คำสั่งนี้ เพื่อปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาจากการถูกฟ้องร้อง ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อรูปคดี รวมทั้งเป็นการป้องปรามและสกัดกั้นตำรวจที่ชอบใช้สื่อสร้างผลงานแก่ตัวเอง...
แต่สื่อมวลชน ในฐานะฐานันดรที่ 4 และมีสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ....มองว่าตร.กำลังปิดกั้นสื่อและปิดหูปิดตาประชาชน ?
กฏเหล็กฉบับนี้ จึงเป็นเครื่องย้ำความเป็น “รัฐตำรวจ” ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอดีตผู้นำเบอร์หนึ่งเคยรับใช้ชีวิตราชการตำรวจมาก่อน อีกทั้งรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลง หลังตกจำเลยทางสังคม ในข้อหาใช้อำนาจปิดกั้นสื่อ นับตั้งแต่พยายามฮุบหุ้นกิจการในเครือมติชนและสั่งปิดรายการเมืองรายสัปดาห์
เฉกเช่นเดียวกับ คำสั่งตร.ฉบับนี้ แม้ผบ.ตร.จะแก้เกี้ยวว่า เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในทางตรง กันข้าม ก็เท่ากับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และขัดต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 39 ที่ระบุว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นจะกระทำมิได้.... เว้นแต่จะกระทำในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะการสงครามหรือการรบ
สื่อมวลชนจึงมองว่าคำสั่งของสตช.ฉบับนี้ เป็นทำลายระบบการเข้าถึงข้อมูลของสื่อมวลชนที่จะนำเสนอต่อไปยังประชาชน อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไม่กล้าจะให้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงในคดีต่างๆ แก่สื่อมวลชน เพราะกลัวจะถูกดำเนินการความผิดด้านวินัย
จนเป็นเหตุให้สื่อมวลชนสายข่าวอาชญากรรมขาดองค์ประกอบหลักในการสื่อสาร ไม่สามารถนำเสนอข่าวได้อย่างสมบูรณและถูกปิดกั้นการนำในหลายมิติและไม่เคยปรากฏตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา
จนกระทั่งชมรมผู้สื่อข่าวช่างภาพสายอาชญากรรม เตรียมรวมตัวและเดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะผบ.ตร. เพื่อขอคำชี้แจงและทบทวนคำสั่งดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งในวันนี้...
ซึ่งคงต้องจับดูท่าทีของผบ.ตร....ว่าจะยอมลดราวาศอก หรือจะยอมหักไม่งอ และหากเป็นดังประการหลัง ถือว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายยิ่ง เพราะจะเสริมสถานะความเป็น"รัฐตำรวจ โดยใช้อำนาจที่มีอยู่มือ สั่งปิดกั้นสื่อ" ให้ดูเด่นชัดขึ้น
อันจะผูกโยงกับจุดเปราะบางของรัฐบาล ที่กำลังเผชิญแรงต้านจากคลื่นมหาชนอยู่ในขณะนี้ และหวังว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสารพัดม็อบในวันนี้ ให้อยู่ในสถานะภาพความเป็น ม็อบคุกรุ่น หรือ พาสซีฟ ม็อบ (passive mob) ซึ่งเป็นการรวมตัวของบุคคลชั่วคราว เพื่อเรียกร้อง เดินขบวน และยื่นข้อเสนออย่างสันติวิธี ไว้ให้ได้อย่างยาวนานที่สุด
และอย่าให้บานปลายไปสู่ แอ๊กทีฟ ม็อบ (active mob) เพราะถูกแรงกดดันหรือถูกกระตุ้นด้วยผู้ประสงค์ร้าย จนนำไปสู่ขบวนการเกลียดชังผู้ใช้อำนาจ อย่างกรณีศึกษา 14 ตุลาคม 2516 ที่ผ่านมา...ดังนั้นพ.ต.ท.ทักษิณและพล.ต.อ.โกวิท จึงต้องตระหนักถึงการใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม อย่าใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว เพราะสถานการณ์มันร้อนแรงเกินกว่าจุดที่ว่ามาแล้ว...
คงไม่สายเกินไป !!หากจะหยิบยกคำสั่ง ( ตร.ที่ 855/2548 ) เพราะถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาให้แล้วว่า เป็น “กฏเหล็ก” โดยสาระสำคัญของคำสั่งว่าด้วย การสั่งห้ามตำรวจนำผู้เสียหาย ผู้ต้องหาและพยานออกมาให้ข่าว หรือแถลงข่าว รวมทั้งห้ามสื่อมวลชนถ่ายภาพทำข่าวผู้ต้องหาที่อยู่ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพอย่างเด็ดขาด
แม้ผบ.ตร.จะแย้งว่า จุดประสงค์คำสั่งนี้ เพื่อปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาจากการถูกฟ้องร้อง ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อรูปคดี รวมทั้งเป็นการป้องปรามและสกัดกั้นตำรวจที่ชอบใช้สื่อสร้างผลงานแก่ตัวเอง...
แต่สื่อมวลชน ในฐานะฐานันดรที่ 4 และมีสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ....มองว่าตร.กำลังปิดกั้นสื่อและปิดหูปิดตาประชาชน ?
กฏเหล็กฉบับนี้ จึงเป็นเครื่องย้ำความเป็น “รัฐตำรวจ” ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอดีตผู้นำเบอร์หนึ่งเคยรับใช้ชีวิตราชการตำรวจมาก่อน อีกทั้งรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลง หลังตกจำเลยทางสังคม ในข้อหาใช้อำนาจปิดกั้นสื่อ นับตั้งแต่พยายามฮุบหุ้นกิจการในเครือมติชนและสั่งปิดรายการเมืองรายสัปดาห์
เฉกเช่นเดียวกับ คำสั่งตร.ฉบับนี้ แม้ผบ.ตร.จะแก้เกี้ยวว่า เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในทางตรง กันข้าม ก็เท่ากับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และขัดต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 39 ที่ระบุว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นจะกระทำมิได้.... เว้นแต่จะกระทำในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะการสงครามหรือการรบ
สื่อมวลชนจึงมองว่าคำสั่งของสตช.ฉบับนี้ เป็นทำลายระบบการเข้าถึงข้อมูลของสื่อมวลชนที่จะนำเสนอต่อไปยังประชาชน อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไม่กล้าจะให้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงในคดีต่างๆ แก่สื่อมวลชน เพราะกลัวจะถูกดำเนินการความผิดด้านวินัย
จนเป็นเหตุให้สื่อมวลชนสายข่าวอาชญากรรมขาดองค์ประกอบหลักในการสื่อสาร ไม่สามารถนำเสนอข่าวได้อย่างสมบูรณและถูกปิดกั้นการนำในหลายมิติและไม่เคยปรากฏตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา
จนกระทั่งชมรมผู้สื่อข่าวช่างภาพสายอาชญากรรม เตรียมรวมตัวและเดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะผบ.ตร. เพื่อขอคำชี้แจงและทบทวนคำสั่งดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งในวันนี้...
ซึ่งคงต้องจับดูท่าทีของผบ.ตร....ว่าจะยอมลดราวาศอก หรือจะยอมหักไม่งอ และหากเป็นดังประการหลัง ถือว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายยิ่ง เพราะจะเสริมสถานะความเป็น"รัฐตำรวจ โดยใช้อำนาจที่มีอยู่มือ สั่งปิดกั้นสื่อ" ให้ดูเด่นชัดขึ้น
อันจะผูกโยงกับจุดเปราะบางของรัฐบาล ที่กำลังเผชิญแรงต้านจากคลื่นมหาชนอยู่ในขณะนี้ และหวังว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสารพัดม็อบในวันนี้ ให้อยู่ในสถานะภาพความเป็น ม็อบคุกรุ่น หรือ พาสซีฟ ม็อบ (passive mob) ซึ่งเป็นการรวมตัวของบุคคลชั่วคราว เพื่อเรียกร้อง เดินขบวน และยื่นข้อเสนออย่างสันติวิธี ไว้ให้ได้อย่างยาวนานที่สุด
และอย่าให้บานปลายไปสู่ แอ๊กทีฟ ม็อบ (active mob) เพราะถูกแรงกดดันหรือถูกกระตุ้นด้วยผู้ประสงค์ร้าย จนนำไปสู่ขบวนการเกลียดชังผู้ใช้อำนาจ อย่างกรณีศึกษา 14 ตุลาคม 2516 ที่ผ่านมา...ดังนั้นพ.ต.ท.ทักษิณและพล.ต.อ.โกวิท จึงต้องตระหนักถึงการใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม อย่าใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว เพราะสถานการณ์มันร้อนแรงเกินกว่าจุดที่ว่ามาแล้ว...