•• จะย้อนเรื่องราวในอดีตและปัจจุบันของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เสียหน่อยโดยเฉพาะในกรณี คอมลิงค์ ที่ผู้รู้ในวงการสื่อสารโทรคมนาคมถือกันว่าเป็น บรรพบุรุษของสัญญาอัปยศ, บรรพบุรุษของสัญญาที่เอกชนจับเสือมือเปล่าได้เปรียบรัฐสุด ๆ จนยากจะเถียงหากมีใครใช้คำว่าปล้น ชนิดที่ถ้าเล่ามาทั้งหมดแล้วจะรู้กันทันทีว่า ความเป็นผู้ดีมีสกุล นั้นจริงแท้แล้วก็คือ หน้ากาก ที่ทำให้คนบางคนบางกลุ่ม ดูดี ปกปิด ธาตุแท้ กันได้อย่าง มิดชิด, หมดจด ก็เผอิญมี เหตุปัจจุบันทันด่วน ชนิด กรรมตามทัน แทรกเข้ามาให้ต้อง แซงคิว เสียก่อน
•• เหตุปัจจุบันทันด่วนก็คือเกิด การโกง, การทุจริต ลักษณ์ใดลักษณ์หนึ่งขึ้นใน ห้องมั่นคง - โรงพิมพ์ธนบัตร สังกัด ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมียอดความสูญเสียจำนวน 3 ล้านบาท เพิ่งจะมีการไปแจ้งความที่ สน.ชนะสงคราม วานนี้ช่วงที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ใกล้ปิดต้นฉบับงานชิ้นนี้อยู่
•• แน่นอน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในกรณีนี้นั้น ไม่ได้โกง, ไม่ได้ทำผิด และอาจจะ ไม่ได้รู้เห็น แต่ที่แน่นอนเช่นกันก็คือเป็น ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ที่ โกง (ขอย้ำว่า โกง, ทุจริต หรือแม้กระทั่ง ประกอบอาชญากรรม เป็น ความผิดสำเร็จ) โดยมี ความเสียหายเป็นตัวเงินก้อนหนึ่งชัดเจน ดังนั้นภายใต้ มาตรฐานใหม่ ว่าด้วย “...ละเลย.” ที่ท่านนำมาจับในกรณีสกัดกั้น วิโรจน์ นวลแข ไม่ให้เป็น กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จึงถือได้ ชัดเจนยิ่งกว่า ว่าตัวท่านนั้นเข้าข่าย “...ละเลย.” ก็ขนาดข้อเท็จจริงที่ท่านนำเข้าจับ คนอื่น เป็นกรณีที่เหมือนกันในเรื่อง ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต่างกันในเรื่องที่กรณี ธนาคารกรุงไทย นั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเรื่อง โกง, ทุจริต และยัง ไม่ปรากฏความเสียหายชัดเจนด้วยซ้ำ แต่กรณีของ โรงพิมพ์ธนบัตร นั้นมันเป็นทั้ง โกง, ทุจริต หรือแม้กระทั่ง ประกอบอาชญากรรม ที่ ปรากฏความเสียหายชัดเจน ถ้าท่านไม่เป็นคนที่มีพฤติกรรม Double Standard แล้วท่านก็ต้อง สละตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยพลัน โทษฐาน “...ละเลย(ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการ).” อันเข้าข่ายเป็น ข้อห้าม ตาม ข้อ 4 (8) แห่ง ประกาศ 27 กรกฎา (ชื่อเต็ม ๆ คือ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย – เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์) เพื่อชาติตระกูลอันสูงส่งจะได้มิต้องมีอันมัวหมอง ลาออก เถอะ
•• ถ้าคุณกล้าจะ ตัดสินอนาคตคนอื่น ด้วยมาตรฐานใหม่ที่ตั้งขึ้นเองว่า “...ละเลย.” แค่ให้เขา ไม่รับตำแหน่ง แล้วก็จบกันเพราะ ไม่มีความผิด และก็ไม่ปรากฏว่ามีมนุษย์คนใดไม่ว่า ระดับบน หรือ ระดับล่าง ของเขาสักคน ทำผิดชัดเจน – มีผลเสียหายชัดเจนจับต้องได้ แต่คุณไม่กล้าที่จะ ตัดสินอนาคตตนเอง ด้วยมาตรฐานใหม่เดียวกัน “...ละเลย.” ที่ชัดเจนกว่าเพราะมีมนุษย์ ระดับล่าง ของท่าน ทำผิดชัดเจน – มีผลเสียหายจับต้องได้ชัดเจน ก็เท่ากับว่าตัวคุณนั้นมีค่าเสมอเพียง โมฆะบุรุษ เท่านั้น
•• และถ้าท่าน ไม่ลาออก ก็ให้รู้กันไปว่าบ้านนี้เมืองนี้ตกอยู่ในภาวะ สิ้นคิด ถึงระดับจำเป็นจะต้องเซ่นไหว้กราบกรานให้ โมฆะบุรุษ อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางไปเรื่อย ๆ
•• มีเสียงสะท้อนจากผู้อ่านประเด็น ธปท. – อิสระเกินไปแต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ที่คัดมาจาก www.manager.co.th ผู้อ่านประจำนาม ประชาชน ได้ post เข้ามาเมื่อวานนี้
•• นอกจากจะ ไม่พูด – ไม่ออกความเห็น เรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะ ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบ แล้วเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยังบอกในทำนองทีเล่นทีจริงว่า จะเลิกเล่นการเมือง ในประโยคที่ “...คงไม่ไหวแล้ว อีก 3 – 4 เดือนเท่านั้นคงจะจบ แต่ดูอีกทีว่าจะถึงขนาดไหน อย่างไรก็ตามหลังเลือกตั้งคราวหน้าจะไม่มีคนชื่อชวลิตแล้ว.” พอนักข่าวถามกลับไปว่า จะเปลี่ยนชื่อหรือ ขุนพลเฒ่าวัย 72 ผู้ถูกถอดออกจากตำแหน่งบัญชาการก็ตอบทีเล่นทีจริงกลับมาอีกว่า อาจเปลี่ยนชื่อ เป็น ไชโย (สื่อบางฉบับรายงานว่า ชโย) จะทีเล่นหรือทีจริงอย่างไรสำหรับท่านผู้นี้ใครกล้ายืนยัน จริงคือเท็จ – เท็จคือจริง แต่ที่แน่ ๆ เท่าที่ “เซี่ยงเส้าหลง” รู้อยู่ก็คือชื่อ ไชโย (ไม่ใช่ ชโย) นี้ไม่เอื้อนเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ หากแต่มี ที่มา, ความหมาย เพราะเป็น ชื่อจัดตั้ง (หรือ ชื่อแฝง เพื่อไม่ให้รู้ ชื่อจริง เนื่องจากเป็น ปฏิบัติการลับ) ที่ใช้ในสมัยบัญชาการรบอยู่ใน กัมพูชา ในฐานะ หัวหน้าหน่วย 315 (ทำนองเดียวกับที่ พล.อ.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ใช้ชื่อ เทพ ในขณะบัญชาการรบใน ลาว ในฐานะผู้บัญชาการของ บก. 333) บอกกล่าวกันไว้
•• วันศุกร์สุดสัปดาห์ขอนำเสนอ 2 – 3 ประเด็นที่เป็น เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน ส่วนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิกฤต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผู้อ่านได้อ่าน วิกฤต 3 จังหวัดภาคใต้...เมื่อทักษิณเดินเข้าสู่ Killing Zone โดย พายัพ วนาสุวรรณ เมื่อวานนี้แล้วก็ได้ให้ ข้อมูลเพิ่มเติม ที่น่าตามไปตรวจสอบต่อไป
•• เรื่องของ ผู้นำศาสนา... ที่ พายัพ วนาสุวรรณ กล่าวไว้ 2 ขั้นตอน “...ปล่อยข่าวล็อบบี้ผ่านทางผู้นำทางศาสนาและอดีตรัฐมนตรีหน้าใหม่ และแกนนำสำคัญพรรคไทยรักไทย รวมทั้งคนแวดล้อมนายกรัฐมนตรีว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง จึงอยู่เบื้องหลังสร้างเหตุการณ์.” และอีกขั้นตอนหนึ่ง “...ผู้นำทางศาสนาและอดีตนายทหารระดับสูง และนายตำรวจบางคน รายงานเท็จต่อเบื้องบนว่า บิ๊กจิ๋วอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ และสนับสนุนมุสลิมชีอะห์ซึ่งมีความคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในอิหร่านมาแล้ว.” ผู้อ่านท่านหนึ่งที่ e-mail เข้ามาหา “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ได้ถามและไม่ได้บอกว่า ผู้นำศาสนา...ที่รายงานเท็จ นั้นเป็น ใคร ลงขันกับสมัครพรรคพวก เพื่อจะได้รับเลือกตั้งให้เป็น ผู้นำศาสนา... โดยได้ ลงชื่อในหนังสือลาออกไว้ล่วงหน้า เพื่อจะให้ พรรคพวกได้เป็นบ้าง แต่พอ ครบกำหนด ก็ เบี้ยว และยังเป็นคน ๆ เดียวกันกับที่ ขอเงิน จาก สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มาใช้ในสำนักงานในลักษณะที่ ขัดหลักศาสนา ทำให้ขณะนี้กำลังถูก พิจารณา จาก ผู้นำศาสนาหลายท่าน ว่าจะเข้าข่าย ขาดคุณสมบัติ และ สมควรถอดถอน หรือไม่
•• เรื่องต่อไปอ้างว่า ส่งต่อออกมาจากเรือนจำแห่งหนึ่ง ท่านผู้นี้ให้ข้อมูลที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในการสอบสวนของ คณะกรรมการอิสระเหตุการณ์กรือเซะ นั้นมี กรรมการคนหนึ่ง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน ไปติดต่อ นักโทษคดีแบ่งแยกดินแดนบางคน เพื่อให้ ปรักปรำ ว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้ที่ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ โดยมีข้อเสนอว่า จะช่วยเหลือให้พ้นโทษ แต่นักโทษผู้นั้น ไม่ยอมทำข้อเสนอ เพราะเห็นว่าเป็นการ ขัดต่อหลักศาสนา ที่เขานับถืออยู่
•• อีกเรื่องหนึ่งเป็น เหตุต่อเนื่อง มาจากผลการประชุม สมช. – สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะเมื่อเย็น ๆ ของ วันที่ 12 ตุลาคม 2547 หลังเกิดเหตุโจมตีที่ กะพ้อ จากการแถลงของ จักรภพ เพ็ญแข ที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานตรงกันว่า “...พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรพูดในที่ประชุมด้วยว่า มีข้อมูลมากพอที่จะใช้มาตรการอย่างเฉียบขาด ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงคน เปลี่ยนแปลงมาตรการ ขณะนี้เงื่อนไขสำคัญ ของการแก้ไขปัญหาภาคใต้คือ หลังการแปรพระราชฐานของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถที่พระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม.” เมื่อประกอบกับข่าวที่ว่ามีการทำ บัญชีดำผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งสิ้น 6,000 คน พี่น้องมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็พากัน อกสั่นขวัญหาย เกรงว่าจะถูก อุ้มฆ่า บางคนกำลังหาทาง อพยพหลบภัย แม้กระทั่งระดับ กรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือแม้พวกในเครือข่าย วาดะห์ ก็ยัง หวาดผวา และเกรงว่า หากใช้ความรุนแรงกับคนจำนวนมากก็จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงและเริ่มต้นพัฒนาเป็นสงครามประชาชน ได้ไม่ยากภายในเวลาไม่นาน
•• ข่าวเหล่านี้ทำให้ หลายคน (รวมทั้ง ปรปักษ์) เริ่มกลับมา นึกถึง คนเดิม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าทำนอง แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ อย่างไรอย่างนั้น
ธปท. – อิสระเกินไปแต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ !
เรื่องราวของม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เขียนไป ผมไม่มีความเห็น เพราะข้อมูลพวกนี้เป็นข้อความเชิง Evident ต้องพิสูจน์กันเองว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง คนเขียนก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ใช้ปากกาฆ่าคนอื่น เป็นการกระทำที่เลว แต่ถ้าจริง คุณชายอุ๋ยก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายพอที่จะเป็นคนใหญ่คนโตได้ ทำตัวไม่เหมาะสมกับชาติตระกูล
แต่ผมอ่านหนังสือ “ศปร. 2” จบตั้งนานแล้ว (คนตั้งคือนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เรื่องจึงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลในยุคหลัง ๆ) อ่านแล้วผมรับไม่ได้กับพฤติกรรมของคนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ในฐานะที่ผมก็เคยทำงานในหน่วยงานระดับชาติมาก่อน ก็พอจะรู้กระบวนการทำงานในระดับสูง การตัดสินใจในระดับสูง ผมจึงสรุปได้ว่า...
ความเสียหายของเศรษฐกิจปี 2540 คนที่ควรจะถูก “ตัดหัว 7 ชั่วโคตร” คือคนในธนาคารแห่งประเทศไทย
ส่วนคนที่น่าสงสาร และต้องแบกรับความอัปยศโดยไม่ตอบโต้ คือพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
กลไกการทำงานในหน่วยงานระดับนี้ รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี จะอยู่ไกลมาก เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นที่คนระดับหัวหน้าฝ่ายเสนอข้อมูลถึงหัวหน้าหน่วยงาน (อาจเป็นผู้ว่าการฯ หรือเลขาธิการฯ) แล้วหัวหน้าหน่วยงานก็ตัดสินใจ อาจเรียนให้รัฐมนตรีทราบก่อน แต่หากเป็นงานในหน้าที่ตามกฎหมาย ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ เซ็นอนุมัติได้เลย
การต่อสู้ค่าเงินบาทน่าจะรู้กันแค่ 2 คน คือ หัวหน้าฝ่ายปริวรรตเงินตรา (ชื่ออะไรผมไม่จำ – อยู่ในศปร. 2) เสนออนุมัติจากผู้ว่าฯนายเริงชัย มะระกานนท์ที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าฯ ที่มีความรู้ ก็คงไม่กล้ายุ่ง เพราะผู้ว่าฯไม่ถาม แล้วก็ต่อสู้กันไป
ดร.หนุ่ม ๆ หัวหน้าฝ่าย คงอายุไม่เกิน 40 ปี จบใหม่ ๆ ไม่มีประสบการณ์ในตลาดเงินสักเท่าไหร่นัก ไปต่อสู้กับนายจอร์จ โซรอส จักรพรรดิทางการเงินของโลกที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปี มันก็ชัดเจนเลยว่าเงินสำรองของชาติ 40,000 ล้านเหรียญมันหายไปได้อย่างไร
ที่นี้ เมื่อเงินหมด ก็เรียนรัฐมนตรีคลังนายอำนวย วีรวรรณ อธิบายข้อมูลยาก ๆ รัฐมนตรีคลังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็คงเห็นด้วยในหลักการ
เมื่อเข้าไปอธิบายบิ้กจิ๋ว ซึ่งไม่เคยเข้ามายุ่งเลย (ใครที่จำกระแสสังคมตอนนั้นได้ ก็จะรู้ว่าทำไมบิ๊กจิ๋วยุ่งไม่ได้ เพราะนายอำนวยขอทำงานอิสระ) ให้ตัดสินใจ บิ๊กจิ๋วจะทำอย่างไร เมื่อนายอำนวยก็ตกลงแล้ว ผู้ว่าฯก็มาอธิบายเอง ก็ต้องเห็นชอบ แต่ความรับผิดชอบมันมาทับบิ๊กจิ๋วคนเดียว
ผมถือว่าวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 สาเหตุหลักมาจากความไม่ประสีประสาของธปท.
มีอิสระมากเกินไป แต่ไม่มี “ความเป็นมืออาชีพ” พอ !
ผมมีเพื่อนเป็นดร.ทางเศรษฐศาสตร์ที่เขาเคยทำงานในสถาบันการเงินที่ถูกยุบ และต้องเคลียร์บัญชีก่อนปิด เขาเล่าให้ฟังว่า คนของธปท.ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์เลย ทำตัวเป็น Regulator อย่างเดียวที่ไม่เข้าใจธุรกิจ พอเรียนจบกลับมาก็ทำงานที่นั่น ไม่เคยทำงานที่อื่น โลกทรรศน์จึงแคบ
(อันนี้ผมเข้าใจ เพราะงานของผมก็คล้ายเป็น Regulator และผมไม่เคยทำงานบริษัทเอกชน จึงไม่เข้าใจระบบของเอกชนเท่าไหร่นัก อันนี้เป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของระบบราชการไทย แม้ผมจะเรียนดร. ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องรู้ทุกเรื่อง ผมรู้แค่เรื่องที่ผมทำวิจัยเท่านั้น ซึ่งแคบมาก และมีเรื่องอีกมากมายที่ผมไม่รู้เลย)
แล้วคนเหล่านี้ ต้องลองผิดลองถูก หาประสบการณ์กับระบบเศรษฐกิจ (คือจบดร. มันก็แค่อ่านหนังสือ ยังไม่ได้เจอของจริง ก็มาเจอตอนทำงาน) ก็ลองผิดลองถูกเอา ที่นี้ลองกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ มันก็เลยเสียหายรุนแรง
ผมเข้าใจว่าดร.ทั้งหลายที่ธปท.คงรู้อะไรขึ้นมากแล้วจากประสบการณ์ที่ทำประเทศเจ๊งไปกับมือ
ความเป็นอิสระมันต้องมากับ “ความโปร่งใส” ด้วย หากเป็นอิสระ แล้วใครตรวจสอบไม่ได้ มันก็คือ “รัฐอิสระ” ดี ๆ นี่เอง คนของธปท.ก็เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา มีโลภ โกรธ หลง เขลา พอ ๆ กับคนอื่น
การตัดสินใจที่มี “กิเลส” เข้าไปประกอบด้วย มันอาจมีความผิดพลาดได้
กรณีคุณวิโรจน์ นวลแข แม้ผมจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ถ้าเอาผลงานในช่วงที่ผ่านมากับความผิดที่ ธปท.กล่าวหาว่า “ละเลย” (แต่ยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น น่าจะใช้วิธีตักเตือนได้) มันเล็กน้อยมาก
เหมือนกับแม่ทัพที่รบชนะศึกใหญ่หลวงมา แต่โดนปลดเพราะข้อหาเล็กน้อยที่ตั้งแท่นกล่าวหามาจากไพร่พลในกองทัพที่รบแพ้ยับเยิน
ลูกน้องบางคนตัดสินใจไม่รัดกุม แต่แม่ทัพโดนปลด -- น้ำหนักมันไม่มากพอจนเชื่อได้ว่าธปท.มี “คุณธรรม” และมี “ความเป็นมืออาชีพ” พอ
ความผิดแค่นี้ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่ธปท.ทำในปี 2540 มันต่างกันราวฟ้ากับดิน !
ผมยังจำได้ว่าเมื่อปี 2540 พนักงานธปท.ยังรับ “โบนัส” กันอย่างไม่ละอายใจเลย และผู้ว่าฯธปท.ในขณะนั้นก็รับ “บำนาญ” กว่า 20 ล้านบาท ไม่มีการสอบสวนความผิดของธปท.ที่ทำชาติล่มจม
ทุกคนยังเสวยสุขได้อย่างไม่ละอายใจ
มันเหมือนกับ "กองทัพที่รบแพ้ยับเยิน" หาเรื่อง "ปลดแม่ทัพที่รบชนะมีผลงานสูง" อย่างไรอย่างนั้น !
เหตุผลที่แถลงออกมาอย่างเป็นทางการมันรับไม่ได้จริง ๆ มันสะท้อนถึงคนของธปท.ว่าไม่ได้มีคุณภาพสักเท่าไหร่เลย
อย่าลืมว่า "ละเลย" กับ "ละเว้น" นี่ต่างกันมาก
“ละเลย” คือ มอบอำนาจไปแล้วไม่ได้ตามดู เพราะว่างานยุ่ง มีงานอื่น ๆ อีกมากมายต้องทำ เลยลืม หรือ ฯลฯ สรุปคือไม่ได้ตาม
“ละเว้น” คือ รู้อยู่แล้วว่าใครทำอะไรผิด ๆ แต่ไม่เข้าไปยับยั้งหรือแก้ไข
ปัญหามันอยู่ตรง "ทราบ” หรือ “ไม่ทราบ"
กรณีคุณวิโรจน์ นวลแข ธปท.คงสอบทางลึกแล้ว ไม่สามารถกล่าวหาว่า “ละเว้น” ได้ ก็เลยกล่าวหาว่า "ละเลย" เสียอย่างนั้นแหละ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประชาธิปัตย์กับไทยรักไทย แต่มันเกี่ยวกับ "ความโปร่งใส” และ “ธรรมาภิบาล" ของหน่วยงานระดับชาติที่เคยสร้างความหายนะทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติมาแล้วอย่างใหญ่หลวงในปี 2540
เหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อน จะเรียกการกระทำของธปท.ว่าอะไร เพราะผิดหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่านัก !
(หมายเหตุ : บางส่วนจาก “ความเห็นจากผู้อ่าน” ผู้ใช้นามแฝงว่า “ประชาชน” ที่ post เข้ามาท้ายคอลัมน์นี้ใน www.manager.co.th เมื่อวานนี้)
•• เหตุปัจจุบันทันด่วนก็คือเกิด การโกง, การทุจริต ลักษณ์ใดลักษณ์หนึ่งขึ้นใน ห้องมั่นคง - โรงพิมพ์ธนบัตร สังกัด ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมียอดความสูญเสียจำนวน 3 ล้านบาท เพิ่งจะมีการไปแจ้งความที่ สน.ชนะสงคราม วานนี้ช่วงที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ใกล้ปิดต้นฉบับงานชิ้นนี้อยู่
•• แน่นอน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในกรณีนี้นั้น ไม่ได้โกง, ไม่ได้ทำผิด และอาจจะ ไม่ได้รู้เห็น แต่ที่แน่นอนเช่นกันก็คือเป็น ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ที่ โกง (ขอย้ำว่า โกง, ทุจริต หรือแม้กระทั่ง ประกอบอาชญากรรม เป็น ความผิดสำเร็จ) โดยมี ความเสียหายเป็นตัวเงินก้อนหนึ่งชัดเจน ดังนั้นภายใต้ มาตรฐานใหม่ ว่าด้วย “...ละเลย.” ที่ท่านนำมาจับในกรณีสกัดกั้น วิโรจน์ นวลแข ไม่ให้เป็น กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จึงถือได้ ชัดเจนยิ่งกว่า ว่าตัวท่านนั้นเข้าข่าย “...ละเลย.” ก็ขนาดข้อเท็จจริงที่ท่านนำเข้าจับ คนอื่น เป็นกรณีที่เหมือนกันในเรื่อง ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต่างกันในเรื่องที่กรณี ธนาคารกรุงไทย นั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเรื่อง โกง, ทุจริต และยัง ไม่ปรากฏความเสียหายชัดเจนด้วยซ้ำ แต่กรณีของ โรงพิมพ์ธนบัตร นั้นมันเป็นทั้ง โกง, ทุจริต หรือแม้กระทั่ง ประกอบอาชญากรรม ที่ ปรากฏความเสียหายชัดเจน ถ้าท่านไม่เป็นคนที่มีพฤติกรรม Double Standard แล้วท่านก็ต้อง สละตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยพลัน โทษฐาน “...ละเลย(ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการ).” อันเข้าข่ายเป็น ข้อห้าม ตาม ข้อ 4 (8) แห่ง ประกาศ 27 กรกฎา (ชื่อเต็ม ๆ คือ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย – เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์) เพื่อชาติตระกูลอันสูงส่งจะได้มิต้องมีอันมัวหมอง ลาออก เถอะ
•• ถ้าคุณกล้าจะ ตัดสินอนาคตคนอื่น ด้วยมาตรฐานใหม่ที่ตั้งขึ้นเองว่า “...ละเลย.” แค่ให้เขา ไม่รับตำแหน่ง แล้วก็จบกันเพราะ ไม่มีความผิด และก็ไม่ปรากฏว่ามีมนุษย์คนใดไม่ว่า ระดับบน หรือ ระดับล่าง ของเขาสักคน ทำผิดชัดเจน – มีผลเสียหายชัดเจนจับต้องได้ แต่คุณไม่กล้าที่จะ ตัดสินอนาคตตนเอง ด้วยมาตรฐานใหม่เดียวกัน “...ละเลย.” ที่ชัดเจนกว่าเพราะมีมนุษย์ ระดับล่าง ของท่าน ทำผิดชัดเจน – มีผลเสียหายจับต้องได้ชัดเจน ก็เท่ากับว่าตัวคุณนั้นมีค่าเสมอเพียง โมฆะบุรุษ เท่านั้น
•• และถ้าท่าน ไม่ลาออก ก็ให้รู้กันไปว่าบ้านนี้เมืองนี้ตกอยู่ในภาวะ สิ้นคิด ถึงระดับจำเป็นจะต้องเซ่นไหว้กราบกรานให้ โมฆะบุรุษ อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางไปเรื่อย ๆ
•• มีเสียงสะท้อนจากผู้อ่านประเด็น ธปท. – อิสระเกินไปแต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ที่คัดมาจาก www.manager.co.th ผู้อ่านประจำนาม ประชาชน ได้ post เข้ามาเมื่อวานนี้
•• นอกจากจะ ไม่พูด – ไม่ออกความเห็น เรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะ ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบ แล้วเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยังบอกในทำนองทีเล่นทีจริงว่า จะเลิกเล่นการเมือง ในประโยคที่ “...คงไม่ไหวแล้ว อีก 3 – 4 เดือนเท่านั้นคงจะจบ แต่ดูอีกทีว่าจะถึงขนาดไหน อย่างไรก็ตามหลังเลือกตั้งคราวหน้าจะไม่มีคนชื่อชวลิตแล้ว.” พอนักข่าวถามกลับไปว่า จะเปลี่ยนชื่อหรือ ขุนพลเฒ่าวัย 72 ผู้ถูกถอดออกจากตำแหน่งบัญชาการก็ตอบทีเล่นทีจริงกลับมาอีกว่า อาจเปลี่ยนชื่อ เป็น ไชโย (สื่อบางฉบับรายงานว่า ชโย) จะทีเล่นหรือทีจริงอย่างไรสำหรับท่านผู้นี้ใครกล้ายืนยัน จริงคือเท็จ – เท็จคือจริง แต่ที่แน่ ๆ เท่าที่ “เซี่ยงเส้าหลง” รู้อยู่ก็คือชื่อ ไชโย (ไม่ใช่ ชโย) นี้ไม่เอื้อนเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ หากแต่มี ที่มา, ความหมาย เพราะเป็น ชื่อจัดตั้ง (หรือ ชื่อแฝง เพื่อไม่ให้รู้ ชื่อจริง เนื่องจากเป็น ปฏิบัติการลับ) ที่ใช้ในสมัยบัญชาการรบอยู่ใน กัมพูชา ในฐานะ หัวหน้าหน่วย 315 (ทำนองเดียวกับที่ พล.อ.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ใช้ชื่อ เทพ ในขณะบัญชาการรบใน ลาว ในฐานะผู้บัญชาการของ บก. 333) บอกกล่าวกันไว้
•• วันศุกร์สุดสัปดาห์ขอนำเสนอ 2 – 3 ประเด็นที่เป็น เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน ส่วนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิกฤต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผู้อ่านได้อ่าน วิกฤต 3 จังหวัดภาคใต้...เมื่อทักษิณเดินเข้าสู่ Killing Zone โดย พายัพ วนาสุวรรณ เมื่อวานนี้แล้วก็ได้ให้ ข้อมูลเพิ่มเติม ที่น่าตามไปตรวจสอบต่อไป
•• เรื่องของ ผู้นำศาสนา... ที่ พายัพ วนาสุวรรณ กล่าวไว้ 2 ขั้นตอน “...ปล่อยข่าวล็อบบี้ผ่านทางผู้นำทางศาสนาและอดีตรัฐมนตรีหน้าใหม่ และแกนนำสำคัญพรรคไทยรักไทย รวมทั้งคนแวดล้อมนายกรัฐมนตรีว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง จึงอยู่เบื้องหลังสร้างเหตุการณ์.” และอีกขั้นตอนหนึ่ง “...ผู้นำทางศาสนาและอดีตนายทหารระดับสูง และนายตำรวจบางคน รายงานเท็จต่อเบื้องบนว่า บิ๊กจิ๋วอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ และสนับสนุนมุสลิมชีอะห์ซึ่งมีความคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในอิหร่านมาแล้ว.” ผู้อ่านท่านหนึ่งที่ e-mail เข้ามาหา “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ได้ถามและไม่ได้บอกว่า ผู้นำศาสนา...ที่รายงานเท็จ นั้นเป็น ใคร ลงขันกับสมัครพรรคพวก เพื่อจะได้รับเลือกตั้งให้เป็น ผู้นำศาสนา... โดยได้ ลงชื่อในหนังสือลาออกไว้ล่วงหน้า เพื่อจะให้ พรรคพวกได้เป็นบ้าง แต่พอ ครบกำหนด ก็ เบี้ยว และยังเป็นคน ๆ เดียวกันกับที่ ขอเงิน จาก สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มาใช้ในสำนักงานในลักษณะที่ ขัดหลักศาสนา ทำให้ขณะนี้กำลังถูก พิจารณา จาก ผู้นำศาสนาหลายท่าน ว่าจะเข้าข่าย ขาดคุณสมบัติ และ สมควรถอดถอน หรือไม่
•• เรื่องต่อไปอ้างว่า ส่งต่อออกมาจากเรือนจำแห่งหนึ่ง ท่านผู้นี้ให้ข้อมูลที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในการสอบสวนของ คณะกรรมการอิสระเหตุการณ์กรือเซะ นั้นมี กรรมการคนหนึ่ง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน ไปติดต่อ นักโทษคดีแบ่งแยกดินแดนบางคน เพื่อให้ ปรักปรำ ว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้ที่ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ โดยมีข้อเสนอว่า จะช่วยเหลือให้พ้นโทษ แต่นักโทษผู้นั้น ไม่ยอมทำข้อเสนอ เพราะเห็นว่าเป็นการ ขัดต่อหลักศาสนา ที่เขานับถืออยู่
•• อีกเรื่องหนึ่งเป็น เหตุต่อเนื่อง มาจากผลการประชุม สมช. – สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะเมื่อเย็น ๆ ของ วันที่ 12 ตุลาคม 2547 หลังเกิดเหตุโจมตีที่ กะพ้อ จากการแถลงของ จักรภพ เพ็ญแข ที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานตรงกันว่า “...พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรพูดในที่ประชุมด้วยว่า มีข้อมูลมากพอที่จะใช้มาตรการอย่างเฉียบขาด ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงคน เปลี่ยนแปลงมาตรการ ขณะนี้เงื่อนไขสำคัญ ของการแก้ไขปัญหาภาคใต้คือ หลังการแปรพระราชฐานของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถที่พระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม.” เมื่อประกอบกับข่าวที่ว่ามีการทำ บัญชีดำผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งสิ้น 6,000 คน พี่น้องมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็พากัน อกสั่นขวัญหาย เกรงว่าจะถูก อุ้มฆ่า บางคนกำลังหาทาง อพยพหลบภัย แม้กระทั่งระดับ กรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือแม้พวกในเครือข่าย วาดะห์ ก็ยัง หวาดผวา และเกรงว่า หากใช้ความรุนแรงกับคนจำนวนมากก็จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงและเริ่มต้นพัฒนาเป็นสงครามประชาชน ได้ไม่ยากภายในเวลาไม่นาน
•• ข่าวเหล่านี้ทำให้ หลายคน (รวมทั้ง ปรปักษ์) เริ่มกลับมา นึกถึง คนเดิม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าทำนอง แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ อย่างไรอย่างนั้น
ธปท. – อิสระเกินไปแต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ !
เรื่องราวของม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เขียนไป ผมไม่มีความเห็น เพราะข้อมูลพวกนี้เป็นข้อความเชิง Evident ต้องพิสูจน์กันเองว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง คนเขียนก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ใช้ปากกาฆ่าคนอื่น เป็นการกระทำที่เลว แต่ถ้าจริง คุณชายอุ๋ยก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายพอที่จะเป็นคนใหญ่คนโตได้ ทำตัวไม่เหมาะสมกับชาติตระกูล
แต่ผมอ่านหนังสือ “ศปร. 2” จบตั้งนานแล้ว (คนตั้งคือนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เรื่องจึงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลในยุคหลัง ๆ) อ่านแล้วผมรับไม่ได้กับพฤติกรรมของคนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ในฐานะที่ผมก็เคยทำงานในหน่วยงานระดับชาติมาก่อน ก็พอจะรู้กระบวนการทำงานในระดับสูง การตัดสินใจในระดับสูง ผมจึงสรุปได้ว่า...
ความเสียหายของเศรษฐกิจปี 2540 คนที่ควรจะถูก “ตัดหัว 7 ชั่วโคตร” คือคนในธนาคารแห่งประเทศไทย
ส่วนคนที่น่าสงสาร และต้องแบกรับความอัปยศโดยไม่ตอบโต้ คือพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
กลไกการทำงานในหน่วยงานระดับนี้ รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี จะอยู่ไกลมาก เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นที่คนระดับหัวหน้าฝ่ายเสนอข้อมูลถึงหัวหน้าหน่วยงาน (อาจเป็นผู้ว่าการฯ หรือเลขาธิการฯ) แล้วหัวหน้าหน่วยงานก็ตัดสินใจ อาจเรียนให้รัฐมนตรีทราบก่อน แต่หากเป็นงานในหน้าที่ตามกฎหมาย ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ เซ็นอนุมัติได้เลย
การต่อสู้ค่าเงินบาทน่าจะรู้กันแค่ 2 คน คือ หัวหน้าฝ่ายปริวรรตเงินตรา (ชื่ออะไรผมไม่จำ – อยู่ในศปร. 2) เสนออนุมัติจากผู้ว่าฯนายเริงชัย มะระกานนท์ที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าฯ ที่มีความรู้ ก็คงไม่กล้ายุ่ง เพราะผู้ว่าฯไม่ถาม แล้วก็ต่อสู้กันไป
ดร.หนุ่ม ๆ หัวหน้าฝ่าย คงอายุไม่เกิน 40 ปี จบใหม่ ๆ ไม่มีประสบการณ์ในตลาดเงินสักเท่าไหร่นัก ไปต่อสู้กับนายจอร์จ โซรอส จักรพรรดิทางการเงินของโลกที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปี มันก็ชัดเจนเลยว่าเงินสำรองของชาติ 40,000 ล้านเหรียญมันหายไปได้อย่างไร
ที่นี้ เมื่อเงินหมด ก็เรียนรัฐมนตรีคลังนายอำนวย วีรวรรณ อธิบายข้อมูลยาก ๆ รัฐมนตรีคลังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็คงเห็นด้วยในหลักการ
เมื่อเข้าไปอธิบายบิ้กจิ๋ว ซึ่งไม่เคยเข้ามายุ่งเลย (ใครที่จำกระแสสังคมตอนนั้นได้ ก็จะรู้ว่าทำไมบิ๊กจิ๋วยุ่งไม่ได้ เพราะนายอำนวยขอทำงานอิสระ) ให้ตัดสินใจ บิ๊กจิ๋วจะทำอย่างไร เมื่อนายอำนวยก็ตกลงแล้ว ผู้ว่าฯก็มาอธิบายเอง ก็ต้องเห็นชอบ แต่ความรับผิดชอบมันมาทับบิ๊กจิ๋วคนเดียว
ผมถือว่าวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 สาเหตุหลักมาจากความไม่ประสีประสาของธปท.
มีอิสระมากเกินไป แต่ไม่มี “ความเป็นมืออาชีพ” พอ !
ผมมีเพื่อนเป็นดร.ทางเศรษฐศาสตร์ที่เขาเคยทำงานในสถาบันการเงินที่ถูกยุบ และต้องเคลียร์บัญชีก่อนปิด เขาเล่าให้ฟังว่า คนของธปท.ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์เลย ทำตัวเป็น Regulator อย่างเดียวที่ไม่เข้าใจธุรกิจ พอเรียนจบกลับมาก็ทำงานที่นั่น ไม่เคยทำงานที่อื่น โลกทรรศน์จึงแคบ
(อันนี้ผมเข้าใจ เพราะงานของผมก็คล้ายเป็น Regulator และผมไม่เคยทำงานบริษัทเอกชน จึงไม่เข้าใจระบบของเอกชนเท่าไหร่นัก อันนี้เป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของระบบราชการไทย แม้ผมจะเรียนดร. ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องรู้ทุกเรื่อง ผมรู้แค่เรื่องที่ผมทำวิจัยเท่านั้น ซึ่งแคบมาก และมีเรื่องอีกมากมายที่ผมไม่รู้เลย)
แล้วคนเหล่านี้ ต้องลองผิดลองถูก หาประสบการณ์กับระบบเศรษฐกิจ (คือจบดร. มันก็แค่อ่านหนังสือ ยังไม่ได้เจอของจริง ก็มาเจอตอนทำงาน) ก็ลองผิดลองถูกเอา ที่นี้ลองกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ มันก็เลยเสียหายรุนแรง
ผมเข้าใจว่าดร.ทั้งหลายที่ธปท.คงรู้อะไรขึ้นมากแล้วจากประสบการณ์ที่ทำประเทศเจ๊งไปกับมือ
ความเป็นอิสระมันต้องมากับ “ความโปร่งใส” ด้วย หากเป็นอิสระ แล้วใครตรวจสอบไม่ได้ มันก็คือ “รัฐอิสระ” ดี ๆ นี่เอง คนของธปท.ก็เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา มีโลภ โกรธ หลง เขลา พอ ๆ กับคนอื่น
การตัดสินใจที่มี “กิเลส” เข้าไปประกอบด้วย มันอาจมีความผิดพลาดได้
กรณีคุณวิโรจน์ นวลแข แม้ผมจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ถ้าเอาผลงานในช่วงที่ผ่านมากับความผิดที่ ธปท.กล่าวหาว่า “ละเลย” (แต่ยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น น่าจะใช้วิธีตักเตือนได้) มันเล็กน้อยมาก
เหมือนกับแม่ทัพที่รบชนะศึกใหญ่หลวงมา แต่โดนปลดเพราะข้อหาเล็กน้อยที่ตั้งแท่นกล่าวหามาจากไพร่พลในกองทัพที่รบแพ้ยับเยิน
ลูกน้องบางคนตัดสินใจไม่รัดกุม แต่แม่ทัพโดนปลด -- น้ำหนักมันไม่มากพอจนเชื่อได้ว่าธปท.มี “คุณธรรม” และมี “ความเป็นมืออาชีพ” พอ
ความผิดแค่นี้ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่ธปท.ทำในปี 2540 มันต่างกันราวฟ้ากับดิน !
ผมยังจำได้ว่าเมื่อปี 2540 พนักงานธปท.ยังรับ “โบนัส” กันอย่างไม่ละอายใจเลย และผู้ว่าฯธปท.ในขณะนั้นก็รับ “บำนาญ” กว่า 20 ล้านบาท ไม่มีการสอบสวนความผิดของธปท.ที่ทำชาติล่มจม
ทุกคนยังเสวยสุขได้อย่างไม่ละอายใจ
มันเหมือนกับ "กองทัพที่รบแพ้ยับเยิน" หาเรื่อง "ปลดแม่ทัพที่รบชนะมีผลงานสูง" อย่างไรอย่างนั้น !
เหตุผลที่แถลงออกมาอย่างเป็นทางการมันรับไม่ได้จริง ๆ มันสะท้อนถึงคนของธปท.ว่าไม่ได้มีคุณภาพสักเท่าไหร่เลย
อย่าลืมว่า "ละเลย" กับ "ละเว้น" นี่ต่างกันมาก
“ละเลย” คือ มอบอำนาจไปแล้วไม่ได้ตามดู เพราะว่างานยุ่ง มีงานอื่น ๆ อีกมากมายต้องทำ เลยลืม หรือ ฯลฯ สรุปคือไม่ได้ตาม
“ละเว้น” คือ รู้อยู่แล้วว่าใครทำอะไรผิด ๆ แต่ไม่เข้าไปยับยั้งหรือแก้ไข
ปัญหามันอยู่ตรง "ทราบ” หรือ “ไม่ทราบ"
กรณีคุณวิโรจน์ นวลแข ธปท.คงสอบทางลึกแล้ว ไม่สามารถกล่าวหาว่า “ละเว้น” ได้ ก็เลยกล่าวหาว่า "ละเลย" เสียอย่างนั้นแหละ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประชาธิปัตย์กับไทยรักไทย แต่มันเกี่ยวกับ "ความโปร่งใส” และ “ธรรมาภิบาล" ของหน่วยงานระดับชาติที่เคยสร้างความหายนะทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติมาแล้วอย่างใหญ่หลวงในปี 2540
เหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อน จะเรียกการกระทำของธปท.ว่าอะไร เพราะผิดหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่านัก !
(หมายเหตุ : บางส่วนจาก “ความเห็นจากผู้อ่าน” ผู้ใช้นามแฝงว่า “ประชาชน” ที่ post เข้ามาท้ายคอลัมน์นี้ใน www.manager.co.th เมื่อวานนี้)