xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 พ.ค.2562

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

1.“ชวน หลีกภัย” คว้าเก้าอี้ ปธ.สภาฯ หลังชนะขาด “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” จาก พท. ด้าน “พรเพชร” นั่งเก้าอี้ ปธ.วุฒิฯ!
(ซ้าย) นายชวน หลีกภัย ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร (ขวา) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฮไลต์อยู่ที่การประชุมสภาฯ นัดแรกในวันนี้ (25 พ.ค.) ที่ต้องลุ้นว่า ใครจะได้นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยนายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะอาวุโสสูงสุด 91 ปี ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมชั่วคราว ได้นำสมาชิกกล่าวปฏิญาณตนอย่างพร้อมเพรียงว่า “ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ทั้งจักรักษาไว้ และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

จากนั้นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้อ่านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ยุติการปฎิบัติหน้าที่ ทำให้นายธนาธรยกมือขอพูด แต่นายชัย ไม่อนุญาตให้พูด เนื่องจากศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ด้านนายธนาธรไม่สนใจและพูดสวนว่า ตนรับทราบและขอเคารพคำวินิจฉัยของศาล และขอยุติการปฎิบัติหน้าที่ตามคำวินิจฉัยของประธานสภา ก่อนเดินทักทายสมาชิกทั้งพรรคอนาคตใหม่และเพื่อไทย และทำความเคารพประธาน ก่อนเดินออกจากห้องประชุมไป

ต่อมา นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เสนอให้มีการเลื่อนประชุมเพื่อเลือกประธานสภาออกไป ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็เห็นด้วย แต่ทางฝั่งพรรคเพื่อไทย (พท.) และอนาคตใหม่ไม่เห็นด้วย สุดท้าย นายวีระกรเสนอให้ประธานสั่งพักการประชุม เพื่อเริ่มประชุมใหม่ช่วงบ่าย ซึ่งในที่สุด นายชัย ได้สั่งพักการประชุม

เมื่อกลับมาประชุมอีกครั้ง นายวีระกรได้ยืนยันญัตติขอให้เลื่อนการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาออกไป ขณะที่พรรคแนวร่วมพรรคเพื่อไทย 7 พรรคยืนยันไม่เห็นด้วยที่จะเลื่อน พร้อมเสนอให้มีการลงมติว่าจะเลื่อนหรือไม่ เมื่อลงมติ ผลปรากฏว่า เสียงเห็นด้วยให้เลื่อน 246 เสียง แพ้ฝ่ายไม่ให้เลื่อน ซึ่งมีจำนวน 248 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง คือนายชัย และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป.

เป็นที่น่าสังเกตว่า มี ส.ส.บางคนของพรรคพลังประชารัฐ ลงมติว่าไม่เห็นด้วยให้เลื่อนประชุม และจะขอแก้ไขการลงมติใหม่เป็นเห็นด้วย เพราะลงมติผิด แต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและแนวร่วมไม่เห็นด้วย พร้อมยืนยันว่า เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ส่งผลให้ในที่สุด การเลือกประธานสภาต้องดำเนินต่อไป ไม่สามารถเลื่อนได้

โดยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อนายชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นประธานสภาฯ ขณะที่นายซูการ์โน มะทา สส.ยะลา พรรคประชาชาติ เสนอนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นประธานสภาฯ จากนั้นประธานที่ประชุมได้ให้สมาชิกลงมติเลือกประธานสภาฯโดยวิธีลับ ด้วยการเขียนชื่อหย่อนลงหีบบัตร เรียงตามตัวอักษร

หลังการลงมติและนับคะแนนแล้วเสร็จ ปรากฏว่า นายชวน หลีกภัย ได้ 258 คะแนน ชนะนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่ได้ 235 คะแนน งดออกเสียง 1 เสียง ทำให้นายชวนได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ และเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งด้วย

หลังประกาศผลการลงมติ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ชั่วคราว ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้สั่งปิดการประชุมทันที และนัดประชุมต่อในวันที่ 26 พ.ค. เวลา 09.00 น. เพื่อเลือกรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ 2 ต่อไป

ส่วนการประชุมวุฒิสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภานั้น มีขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 24 พ.ค. ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที ถ.แจ้งวัฒนะ ซึ่งก่อนการเลือก สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ได้กล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนการปฏิบัติหน้าที่ว่า “ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ทั้งจักรักษาไว้ และปฏับัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ทั้งนี้ ผู้ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วนรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร อดีต สนช. ขณะที่รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 คือ นายศุภชัย สมเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคต่างๆ ก่อนหน้าจะถึงวันประชุมสภานัดแรกในวันที่ 25 พ.ค.ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ โดยอ้างว่า หน้าที่ที่ตนรับผิดชอบในพรรคเกี่ยวกับการร่างนโยบายพรรคและการพูดกับสาธารณชนและสื่อต่างๆ เสร็จสิ้นลงแล้วหลังผ่านพ้นการเลือกตั้ง จึงขอลาออก ส่วนงานบริหารกิจการในพรรค การรับสมัครสมาชิกพรรค การระดมทุนและการจัดการการเงินทั้งหมด นายมิ่งขวัญอ้างว่า เป็นความรับผิดชอบของนายสุภดิช อากาศฤกษ์ และทีมบริหารอีกฝ่าย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การลาออกจากหัวหน้าพรรคของนายมิ่งขวัญ โดยยังคงดำรงสถานะ ส.ส.ของพรรค มีขึ้นหลังผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคบุก กกต.ขอความเป็นธรรมโดยอ้างว่า ถูกกรรมการบริหารพรรคหลอกลวงโดยสัญญาว่าจะให้เงินสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่หลังเลือกตั้งกลับไม่จ่าย จนหนี้สินรุมเร้า ส่งผลให้ผู้สมัครเครียดและเสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 24 พ.ค. โดยมีมติเสนอชื่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฏรที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 พ.ค. แต่ยังไม่มีมติต่อการร่วมจัดตั้งรัฐบาล

ขณะที่ท่าทีของพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ได้นำทีมแถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. หลังหารือร่วมกับ ส.ส.ของพรรคว่า พรรคตัดสินใจเลือกสิ่งที่คิดว่าทำให้ประเทศเดินไปได้ จึงขอประกาศว่า พรรค ชทพ.มีความเห็นร่วมกันที่จะเลือกแนวทางเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และจะยกมือให้พรรค พปชร.ในการเลือกประธานสภาฯ ส่วนการยกมือเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ขอยังไม่พูด ต้องเอาประธานสภาฯ ก่อน

2.“ในหลวง-พระราชินี” เสด็จฯ เปิดประชุมรัฐสภา ทรงมีพระราชดำรัสให้ ส.ส.-ส.ว.ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมรัฐสภา 24 พ.ค.
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. เวลาประมาณ 15.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมรัฐสภา ณ ห้องประชุมวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นายนัฐ ผาสุก เลขาธิการวุฒิสภา นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฝ้าฯ รับเสด็จ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภา ความว่า “บัดนี้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสร็จสิ้นลง และมีการเรียกประชุมรัฐสภา พุทธศักราช2562 แล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติตั้งแต่วาระนี้เป็นต้นไป"

"ขอให้สมาชิกแห่งสภาพึงนึกถึงความสำคัญและความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง เพราะการกระทำทุกอย่างของแต่ละคนจะมีผลโดยตรงถึงความมั่นคงของประเทศ และความสุขทุกข์ของประชาชน จึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติภารกิจทั้งปวงโดยเต็มสติปัญญา ความสามารถ ด้วยความสุจริต และด้วยความคิดพิจารณาอันสุขุมรอบคอบ หนักแน่น ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง ตามหลักนิติธรรม และคุณธรรม ให้งานของชาติดำเนินก้าวหน้าไปโดยไม่ติดขัด และบังเกิดประโยชน์อันพึงประสงค์ สมบูรณ์ บริบูรณ์"

"ขออำนวยพรให้การดำเนินงานของรัฐสภาเป็นไปโดยเรียบร้อย สัมฤทธิผล เป็นความผาสุกสวัสดิ์ และความวัฒนาถาวรแก่อาณาประชาราษฎร์ และชาติบ้านเมือง ทั้งขอให้ทุกคนที่ประชุมร่วมกันอยู่ ณ ที่นี้ ประสบความสุขความเจริญทุกเมื่อ ทั่วหน้ากัน”

3.ศาล รธน.มีมติให้ “ธนาธร” หยุดทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยกรณีถือหุ้นสื่อ ด้านเจ้าตัวยังหวังนั่งนายกฯ!
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ กรณีความปรากฏหรือมีเหตุอันควรสงสัยต่อ กกต.ว่า นายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ซึ่งเป็นกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าวผลการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ศาลได้พิจารณาคำร้องของ กกต.ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย อยู่ในวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) กรณีจึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7(5) จึงมีมติเอกฉันท์มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และแจ้งให้ผู้ร้องทราบ และส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ส่วนกรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ศาลพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า ข้อมูลจากเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นทุกครั้ง จะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นระบุวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น พร้อมมีหนังสือนำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครในเวลาใกล้ชิดกัน ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในคดีนี้ ตามเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏว่า มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น จึงปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ประกอบกับการปกิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

ทั้งนี้ วันเดียวกัน หลังทราบคำสั่งศาล นายธนาธรได้แถลงอ้างว่า คดีนี้ กกต.เร่งรัดแบบผิดปกติ ใช้เวลา 53 วัน ก็ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมเปรียบเทียบว่า กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย ใช้เวลาพิจารณา 417 วัน จาก กกต.ถึงศาลรัฐธรรมนูญ "อยากถามว่า ผมได้รับความเป็นธรรมในกรณีนี้หรือไม่ การทำงานของกระบวนการอิสระที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติในประเทศไทยเป็นธรรมหรือไม่ ขอให้ช่วยกันตรวจสอบมติของ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ"

นายธนาธรยังประกาศด้วยว่า แม้ตนจะถูกศาลฯ วินิจฉัยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แต่ตนและพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันจะรวบรวมเสียงเพื่อผลักดันให้นายธนาธรเป็นนายกรัฐมนตรี นายธนาธรยังมีศักดิ์และสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรี “ระหว่างรอการวินิจฉัย จะยังคงทำงานกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อพวกเขาไม่ให้ผมเข้าสภา ผมก็จะอยู่กับประชาชนจากที่ได้รับความไว้วางใจ 6 ล้าน 3 แสนเสียงทั่วประเทศ”

ทั้งนี้ นอกจากกรณีถือหุ้นสื่อแล้ว ล่าสุด 21 พ.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบกรณีนายธนาธรบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ยอมรับว่า ได้ให้พรรคอนาคตใหม่ยืมเงินจำนวน 110 ล้านบาท ในการดำเนินกิจกรรมของพรรค อีกทั้งก่อนหน้านี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เคยให้สัมภาษณ์ว่าพรรคกู้ยืมเงินจำนวน 250 ล้านบาทจากนายธนาธร ซึ่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นการสัญญาและคิดดอกเบี้ยชัดเจน ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา 66 วรรคหนึ่งและวรรคสองระบุว่า บุคคลหรือนิติบุคคลใดจะบริจาคเงินหรือ ทรัพย์สินให้พรรคการโดยมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อปีมิได้ กรณีดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 124 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 66 วรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี

นอกจากนี้ มาตรา 125 พรรคการเมืองใดที่รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด มีมูลค่าเกินที่กำหนดไว้ มาตรา 66 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค มีกำหนด 5 ปี และให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ส่วนที่เกินมูลค่าที่กำหนดไว้ตามมาตรา 66 ตกเป็นของกองทุนพัฒนาการเมือง

นายศรีสุวรรณยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา กกต.ออกประกาศ กกต. เรื่องกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ไว้ในข้อ 5 ว่า พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่เกิน 35 ล้านบาท ห้ามผู้สมัคร ส.ส.ใช้เงินหาเสียงเกิน 1.5 ล้านบาทต่อคน แต่การที่พรรคอนาคตใหม่ ระบุว่ามีการกู้เงินนายธนาธร จำนวน 110 ล้าน เพื่อนำไปใช้จ่ายดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค จึงเป็นการใช้จ่ายเกินกว่าที่ กกต.กำหนด และไม่เป็นไปตามมาตรา 87, 88, 89 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่

4.“โอ๊ค” ขึ้นศาลคดีฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย ด้านศาลนัดสืบพยาน ก.ย.-พิพากษา 25 พ.ย.!
นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ตรวจพยานหลักฐานคดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91

คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 10 ต.ค.2561ว่า นายพานทองแท้รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยฯ กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ ซึ่งเป็นบุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลย ในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชายคนละ 12 ปีร่วมกับพวก โดยในส่วนของนายวิชัย, นายรัชฎา บุตรชาย และกลุ่มอดีตกรรมการบริษัทเอกชนในเครือกฤษดามหานครรวม 6 คนนั้น ก็ถูกอัยการยื่นฟ้องในความผิดฐานฟอกเงินการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบด้วย ซึ่งในชั้นศาล นายพานทองแท้ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง พร้อมอ้างว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร โดยนายพานทองแท้ได้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี โดยศาลตีราคาประกัน 1 ล้านบาท

เมื่อถึงกำหนดศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน นายพานทองแท้ได้เดินทางมาพร้อมกับน้องสาวทั้งสอง คือ นางพินทองทา คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนมาร่วมให้กำลังใจด้วย

สำหรับการตรวจพยานหลักฐานคดีในครั้งนี้ เป็นการตรวจต่อเนื่องจากที่ศาลให้อัยการโจทก์ และทนายความจำเลย ยื่นระบุบัญชีพยานแต่ละฝ่าย พร้อมเสนอประเด็นนำสืบโต้แย้งเสนอต่อศาล ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2562 โดยฝ่ายอัยการโจทก์เสนอบัญชีพยานบุคคล 21 ปาก ซึ่งในจำนวนนั้น 12 คนพนักงานสอบสวนได้สอบสวนไว้แล้ว และพยานเอกสาร 27 ลำดับ ส่วนจำเลยยื่นบัญชีพยานบุคคล 15 ปาก และพยานเอกสาร 47 ลำดับ

สำหรับพยานที่จะไต่สวนนั้น ศาลพิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่จะวินิจฉัยในคดีแล้ว เห็นควรไต่สวนพยานโจทก์-จำเลย และตัวจำเลยเองรวมทั้งสิ้น 5 ปาก โดยเป็นพยานฝ่ายโจทก์ 3 ปาก และฝ่ายจำเลย 2 ปาก หากไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วยังไม่ครบถ้วน ศาลจะเรียกพยานมาไต่สวนเพิ่มเติม

และเนื่องจากคดีนี้มีการตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมทางการเงินที่มีรายละเอียดมาก ศาลจึงให้คู่ความทำเป็นแผนภูมิแสดงเส้นทางการรับ-โอนเงินของจำเลย เพื่อนำสืบประกอบการไต่สวนพยานบุคคลด้วย โดยศาลจะออกหมายเรียกพยานเพื่อมาไต่สวน ในวันนัดที่ 24, 25, 26 ก.ย.นี้ ซึ่งก่อนจะเริ่มไต่สวนพยานศาลจะนัดตรวจความพร้อมการนำพยานเข้าสืบก่อนในวันที่ 15 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ ศาลได้กำชับให้คู่ความเตรียมพยานให้พร้อม และให้ตัวจำเลยเดินทางมาศาลทุกนัด โดยศาลได้กำหนดวันพิพากษาคดีล่วงหน้าไว้ในวันที่ 25 พ.ย. นี้ เวลา 10.00 น.

ด้านทนายความจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า ติดใจที่จะนำสืบประเด็นของนายวิชัยและนายรัชฎา ที่เคยให้การในชั้นดีเอสไอเกี่ยวกับการลงทุนและโอนเงินธุรกิจในสำนวนคดีอื่นมาประกอบ เพื่อแสดงให้เห็นเจตนาของการทำธุรกิจระหว่างจำเลยและนายรัชฎาด้วย ซึ่งศาลให้ทนายความทำเป็นคำร้องชัดเจนยื่นเข้ามาเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

หลังเสร็จสิ้นการตรวจพยานหลักฐาน นายพานทองแท้กล่าวว่า มั่นใจ และพร้อมนำพยานหลักฐานเข้าสู่การพิจารณา พร้อมย้ำว่า หากศาลนัดมาเมื่อใด ตนก็พร้อมมาทุกนัด

5.“มงคลกิตติ์” หน.พรรคไทยศรีวิไลย์ ถูกศิษย์เก่า มจพ.-พ.พ. จวกยับพูดให้ร้ายสถาบัน เผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง-จี้ขอโทษ!
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์
จากกรณีที่ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์กรณีคลิปไลฟ์สดของนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่เล่าเหตุการณ์สมัยเรียนว่า มีเรื่องชกต่อยเป็นประจำ รวมถึงสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นผู้กว้างขวาง ใครมีเรื่องต้องมาหาตนก่อน ซึ่งต่อมา นายมงคลกิตติ์ ยืนยันว่า สมัยวัยรุ่นเป็นนักเลงจริง มีเรื่องต่อยตีเป็นประจำ ซึ่งเป็นธรรมดาของเด็ก ปวช. แต่เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเก่า และเชื่อว่า ที่กลายเป็นกระแสดราม่าในโลกโซเชียล เพราะตนเป็นคนรวบรวมพรรคการเมืองขนาดเล็กไปจับมือพรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล อีกไม่กี่วัน กระแสเรื่องนี้ก็เงียบไปเอง

อย่างไรก็ตาม มีความเคลื่อนไหวจากกลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ มจพ. ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเก่าที่นายมงคลกิตติ์เคยศึกษาอยู่ โดยมีศิษย์เก่ากำลังรวบรวมรายชื่อทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน เพื่อประณามและถอดถอนนักการเมืองที่ทำลายชื่อเสียงสถาบัน

ด้านนายมงคลลกิตติ์ได้นำพวงมาลัยดอกไม้ไปไหว้ขอขมา ผศ.วรวิทย์ จตุรพาณิชย์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร และ ผศ.สมชาย เวชกรรม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มจพ. และศิษย์เก่าสัมพันธ์เมื่อวันที่ 21 พ.ค. พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่พูดบรรยายในไลฟ์สด เป็นชีวิตช่วงวัยรุ่นอายุ 15-18 ปี มีความห้าวและการต่อยตีกับคู่อรินั้น ทำภายนอกโรงเรียนไม่เกี่ยวข้องใดๆ คลิปนั้นทำไว้ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. เป็นการไลฟ์สดเล่าประสบการณ์สมัยเรียนกับสมาชิกในเฟซบุ๊กตนเอง แต่มีสื่อมวลชนนำมาปล่อยและมีคนตัดต่อจนเรื่องลุกลาม และว่า วันนี้ตนทำผิดที่ทำให้สถาบันเสื่อมเสีย ก็มาขอโทษ เป็นลูกผู้ชาย ดีกว่านักการเมืองที่ทำผิดแต่หนี ส่วนคนที่จะถอดถอนตนจากการเป็น ส.ส. ก็สามารถทำได้ แต่อยากขอโอกาสพิสูจน์ผลงานก่อน

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากขอขมาเสร็จสิ้น ได้มีกลุ่มศิษย์เก่า มจพ. และรุ่นน้อง เดินเข้ามาในห้องประชุม และถามนายมงคลกิตติ์ว่าจะรับผิดชอบอย่างไรกับอนาคตของรุ่นน้องที่จะจบการศึกษา จะหางานทำได้หรือไม่ หลังสถาบันถูกนายมงคลกิติ์ทำให้เสียหาย

ล่าสุด 25 พ.ค. ที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในพระราชวังจันทน์ กลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม (พ.พ.) ได้มารวมตัวกันเพื่อแถลงข่าวตอบโต้กรณีที่นายมงคลกิตติ์ ซึ่งเคยเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม กล่าวพาดพิงทำนองว่า สมัยเรียนมียาบ้าเต็มไปหมด และมีแก๊งนักเลงอันธพาล ทำให้กลุ่มรุ่นพี่ พ.พ.หลายรุ่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยได้อ่านแถลงการณ์ประณามการกระทำของนายมงคลกิตติ์ และเรียกร้องให้ออกมาขอโทษ รวมทั้งแก้ข่าว

หลังจากนั้นบรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมได้ร่วมร้องเพลงมาร์ชสถาบัน นอกจากนี้ยังมีการเขียนชื่อนายมงคลกิตติ์ ก่อนเผาพริกเผาเกลือ บริเวณหน้าศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนแยกย้ายกันกลับ
กำลังโหลดความคิดเห็น