xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-17 ก.พ.2561

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“หมอธี” ยอมกลืนน้ำลาย หลังวิพากษ์ “นาฬิกาหรูบิ๊กป้อม” ที่อังกฤษ โร่ขอโทษ ยอมรับเสียมารยาท!
(ซ้าย) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ขวา) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. เฟซบุ๊กบีบีซีไทยได้เผยแพร่คลิปการให้สัมภาษณ์ของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่กล่าวกับนักเรียนและนักธุรกิจไทยที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ตอนหนึ่งว่า “การบังคับใช้กฎหมายของไทยและสำนึกของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศยังต่างจากของอังกฤษ การยึดหลักนิติธรรมยังไม่เกิดขึ้นจริง” และว่า “ยกตัวอย่างกรณีที่นายไมเคิล เบทส์ สมาชิกสภาขุนนางของอังกฤษ สังกัดพรรคอนุรักษ์นิยม ได้ประกาศลาออกจากสมาชิกสภาขุนนาง เนื่องจากรู้สึกละอายใจที่เข้าร่วมประชุมสภาสายเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แต่คำลาออกของเขาถูกนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรียับยั้ง แต่เมืองไทย มีนาฬิกา 25 เรือน ยังไม่เป็นไร”

ไม่เท่านั้น เฟซบุ๊กบีบีซีไทยยังรายงานอีกว่า “รมว.ศธ.กล่าวติดตลก ท่ามกลางความแปลกใจของบรรดาผู้บริหารบริษัทจากไทยที่มาร่วมสมัครงานนักเรียนไทยในอังกฤษ หลังการปราศรัยเป็นเวลา 15 นาทีจบลง นพ.ธีระเกียรติให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า ไม่มีทางที่จะเห็นนักการเมืองไทยลาออก เพราะมาสาย ไม่มีทาง เพราะมันเป็น conscience (ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี) ลึกๆ อยู่ในสายเลือด การรู้ว่าอะไรควร อะไรถูก มาสาย ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิด ethic (จริยธรรม) เมื่อไม่ได้ฝึกมาแต่เด็กให้หน้าบาง ยาก เมืองไทย ไม่มีทาง เมืองไทยเป็นอย่างหนาตราช้าง ส่วนประเด็นนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่าอะไร ให้ไปถามคนนั้น ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไรทำไม พูดแล้ว มันจะมาไล่ผมออกหรือ”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลัวทำให้เพื่อนร่วมคณะรัฐมนตรีเสียหน้าหรือ นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวนี่ นี่มันความเห็นของผม ไม่ใช่ความเห็นของ ครม. อย่างนี้แปลว่า ถ้าผมอยู่ที่ไหน ผมต้องคิดตามเขาหมดเหรอ ลูกผมยังไม่คิดไม่เหมือนผมเลย การคิดเหมือนกันคือหลักเผ่ากู ซึ่งโตกว่าหลักกูนิดเดียว”

ทั้งนี้ วันต่อมา 13 ก.พ. ได้มีการประชุม ครม.ตามปกติที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ นพ.ธีระเกียรติ ลาประชุม เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากอังกฤษเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่างปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ นพ.ธีระเกียรติให้สัมภาษณ์นักข่าวที่อังกฤษ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆ ว่า “เดี๋ยวให้เขาชี้แจงเอง”

เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับ ครม.ว่า อยู่ด้วยกันให้ระวังคำพูดด้วย รวมถึงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว

ต่อมา เวลา 12.15 น. ปรากฏว่า นพ.ธีระเกียรติ ได้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ท่ามกลางข่าวลือว่า นพ.ธีระเกียรติ เตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ

หลังเข้าพบ นพ.ธีระเกียรติ ได้แถลงเปิดใจว่า ได้เดินทางมาพบนายกฯ และ พล.อ.ประวิตร พร้อมชี้แจงว่า กรณีที่เป็นข่าว เกิดจากการไปบรรยายให้นักศึกษาไทยที่อังกฤษฟัง และหลังบรรยาย นักข่าวได้มาดักรอ โดยไม่ทราบว่ามีการบันทึกเทป ได้พูดถึงประเด็นนาฬิกาหรู อย่างไรก็ตาม นพ.ธีระเกียรติชี้ว่า เสียงที่ปรากฏออกมา เป็นคนละช่วงกับภาพประกอบเสียงที่ถูกเสนอออกมาเป็นข่าว จึงถือว่าไม่ได้เป็นการให้สัมภาษณ์ แต่ยอมรับว่า การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ผิดมารยาท ที่ได้กล่าวถึงเพื่อนร่วม ครม. คือ พล.อ.ประวิตร ได้ขอโทษ พล.อ.ประวิตร “พล.อ.ประวิตรได้พยักหน้ารับ และผมได้ขอโทษที่เสียมารยาท ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา เมื่อคุยกันแล้ว ก็สบายใจขึ้น พล.อ.ประวิตรไม่ได้พูดอะไร ท่านก็ยิ้ม”

นพ.ธีระเกียรติยืนยันด้วยว่า ยังให้ความเชื่อมั่นนายกฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้ามาทำงานร่วมกับ ครม. เพราะนายกฯ ยืนยันจะทำงานให้นายกฯ ต่อไป จนกระทั่งนายกฯ จะเห็นว่าไม่เหมาะสม พร้อมย้ำว่า การแถลงในครั้งนี้เป็นความตั้งใจของผมเอง ไม่มีแรงกดดันจากสิ่งอื่นแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังยืนยันความเห็นเดิมที่กล่าวไว้ในคลิปเสียงหรือไม่ นพ.ธีระเกียรติ ถามกลับว่า “ผู้สื่อข่าวถามเช่นนี้เพื่ออะไร เพราะคนเราก็มีความเห็นส่วนตัวกันได้ทั้งนั้น จะมาถามเพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างไร”

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง นพ.ธีระเกียรติว่า เท่าที่รับฟังจาก นพ.ธีระเกียรติ ทราบว่าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่เป็นการพูดคุย ซึ่ง นพ.ธีระเกียรติได้ชี้แจงแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยืนยัน ครม.ไม่มีร้าว ทุกคนรักใคร่กันดี เข้าใจกัน มีอะไรก็พูดจาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทำอะไรผิด ก็ขอโทษซึ่งกันและกัน มันก็จบ ต้องระงับความขัดแย้งให้ได้บ้าง

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีที่ นพ.ธีระเกียรติแถลงขอโทษ โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ็บคอ พูดไม่ได้” จากนั้นได้รีบเดินขึ้นรถออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที

2.ตำรวจเตรียมออกหมายเรียก “เปรมชัย” กับพวก รับทราบข้อหาเพิ่ม ด้านป่าไม้แจ้งจับ 3 พี่สาวเปรมชัยครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบกว่า 6,200 ไร่!
(บน) นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ถ่ายกับชายอีก 3 คนกลางป่า ซึ่งน่าสงสัยว่าถ่ายที่ไหนและเมื่อไหร่ ใช่ที่ทุ่งใหญ่ฯ หรือไม่ (ล่าง) อาณาจักร-รีสอร์ตของตระกูล กรรณสูต ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐที่ภูเรือ จ.เลย
ความคืบหน้ากรณีนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่เขตฯ ได้จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกอีก 3 คน คือ นายยงค์ โดดเครือ, นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ หลังพบมีการตั้งเต็นท์ที่พักนอกเขตที่อนุญาต และมีการล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ โดยจับกุมได้พร้อมของกลางซากสัตว์ป่าคุ้มครอง เช่น ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง ซากเสือดำที่ถูกชำแหละเอาหนังออก และถนอมหนังเสือโดยใช้เกลือทา ขณะที่เนื้อเสือดำบางส่วนถูกต้มอยู่ จากนั้นนำตัวส่ง สภ.ทองผาภูมิ และถูกแจ้งข้อหา 9 ข้อหา ก่อนขอศาลจังหวัดทองผาภูมิฝากขัง และศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 150,000 บาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นอกจาก 9 ข้อหาที่ตำรวจดำเนินคดีนายเปรมชัยกับพวกแล้ว เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังได้แจ้งความดำเนินคดีนายเปรมชัยกับพวกเพิ่มอีก 1 ข้อหา คือ ทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งตำรวจจะออกหมายเรียกนายเปรมชัยกับพวกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป ส่วนข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่นั้น ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานและสอบปากคำพยาน ก่อนจะออกหมายเรียกนายเปรมชัยกับพวกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

นอกจากนี้ตำรวจยังได้ออกหมายเรียกนายนพดล พฤกษะวัน อายุ 67 ปี อดีตข้าราชการกรมอุทยานฯ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาบริษัท อิตาเลียนไทยฯ มาพบพนักงานสอบสวน หลังมีข้อมูลว่า นายนพดลเป็นผู้ประสานเพื่อให้นายเปรมชัยกับพวกเข้าค้างแรมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ได้ กระทั่งมีการล่าสัตว์ตามมา

ซึ่งนายนพดลได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 12 ก.พ. โดยในการสอบปากคำ นายนพดลยอมรับว่า เป็นที่ปรึกษาของบริษัทนายเปรมชัยจริง และว่า นายเปรมชัยติดต่อมาว่าจะเดินทางเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จึงประสาน น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อให้นายเปรมชัยและพวกเข้าพื้นที่ไปศึกษาธรรมชาติ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่แจ้งข้อหานายนพดล เพราะผลการสอบสวนยังไม่ถึง

ทั้งนี้ นอกจากนายเปรมชัยจะมีคดีในแง่ล่าสัตว์คุ้มครองในทุ่งใหญ่ฯ แล้ว กรณีที่มีคลิปเสียงการสนทนาของกลุ่มนายเปรมชัยที่ระบุว่า นายเปรมชัยมีบ้านที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ยังได้นำไปสู่การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า บ้านนายเปรมชัยอยู่บริเวณใด และอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ หากอยู่ในพื้นที่ป่า ต้องดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป

โดยมีรายงานว่า นายเปรมชัยมีกิจการหลายแห่งที่ จ.เลย ได้แก่ บริษัท ชา โต เดอ เลย ตั้งอยู่ใน ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ, บ้านพักตากอากาศ รังเย็น รีสอร์ต ตั้งอยู่ใน ต.โคกงาม อ.ด่านซ้าย และภูเรือวโนทยาน ใน ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ โดยนายเปรมชัยครอบครองที่ดินในนามบริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 147 แปลง เนื้อที่ 6,215 ไร่

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหลังตรวจค้นพื้นที่และอาคารภูเรือวโนทยาน ร่วมกับนายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ว่า พบการรุกที่ป่า 6,215 ไร่ ทำให้รัฐเสียหาย 600 ล้านบาท กรมป่าไม้และกรมที่ดินแจ้งความดำเนินคดีกรรมการบริษัท ซี.พี.เค. ผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งไม่มีนายเปรมชัย แต่นายเปรมชัยมีชื่อเป็นกรรมการบริหารบริษัท

วันต่อมา 14 ก.พ. นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการพยัคฆ์ไพร ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ด่านซ้าย จ.เลย ให้ดำเนินคดีบริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล รวมทั้งนางพิไลจิตร เริงพิทยา, นางนิจพร จรณะจิตต์ และนางอรเอม เทิดประวัติ ซึ่งทั้งสามเป็นพี่สาวของนายเปรมชัย ที่ลงลายมือชื่อในนามบริษัท ซี.พี.เค.ฯ ข้อหาเจตนาครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ตามมาตรา 54 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 9 กฎหมายที่ดิน และ มาตรา 97 พ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 รวมพื้นที่ทั้งหมด 6,215 ไร่

นายชีวะภาพเผยด้วยว่า บริษัท ซี.พี.เค.ฯ มีเจตนาครอบครองที่ดินโดยมิชอบ เนื่องจากนำที่ดินที่ถูกเพิกถอนมาออกโฉนดตั้งแต่ปี 2534 จากนั้นปี 2536 กรมที่ดินได้เพิกถอนคำร้องของบริษัท ซี.พี.เค.ฯ ทั้งหมด ต่อมาปี 2552 บริษัทฯ ได้ยื่นขอสัมปทานใช้พื้นที่สำนักงานที่ดิน แต่ปรากฏว่าไม่มีการอนุมัติ และในปี 2556 บริษัทฯ ได้ยื่นถอนคำร้องออกมาทั้งหมด และในปีเดียวกัน บริษัทฯ ได้นำพื้นที่บางส่วนไปออกโฉนด 38 แปลง 679 ไร่ ถือว่ามีเจตนาครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบ นอกจากนี้จะมีการขยายผล เนื่องจากในที่ดินดังกล่าวมีการตัดถนน มีการก่อสร้าง ปลูกสร้างอาคารจำนวนมาก จึงจะตรวจสอบว่ามีสิ่งผิดกฎหมายด้วยหรือไม่ แต่เบื้องต้น กรมป่าไม้ได้เพิกถอนที่ดิน 6,215 ไร่ กลับมาเป็นของรัฐแล้ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่า นายเปรมชัยมีรีสอร์ตบ้านพักบ้านชัยชนะ อยู่ห่างจากรังเย็นรีสอร์ตประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 6,215 ไร่เช่นกัน โดยนายสงวน ชินระนาท ผู้จัดการร้านชาโต้ เดอ เลย และผู้จัดการดูแลบ้านชัยชนะ ให้การว่า เป็นบ้านพักของพนักงานบริษัท ซี.พี.เค.ฯ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบริเวณโดยรอบ พบกรงสัตว์ขนาดใหญ่สูงกว่า 10 เมตร แต่ไม่พบว่ามีการเลี้ยงสัตว์ หรือซากสัตว์ใดๆ โดยนายสงวนอ้างว่า เป็นกรงเลี้ยงไก่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เพราะกรงมีขนาดใหญ่มาก นอกจากนี้ยังพบว่า ได้มีการทำห้างสำหรับส่องสัตว์บนต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน รวมทั้งรอยคล้ายการลองกระสุนปืนอยู่ที่ต้นไม้อีกด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบหาหลักฐานต่อไป

3.ตำรวจเตรียมออกหมายจับคนให้การเท็จ 2 รายคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ด้าน “เจ๊บ้าบิ่น” ยังไม่รับสารภาพ!
หมวดจรูญ และครูปรีชา ขึ้นศาลจังหวัดกาญจนบุรีเมื่อวันที่ 12 ก.พ. คดีที่ครูปรีชาฟ้องหมวดจรูญละเมิด เก็บลอตเตอรี่ของตนไป ฟ้องเรียกทรัพย์คืน
ความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้านที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ อดีตข้าราชการตำรวจเกษียณ และนายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ต่างอ้างความเป็นเจ้าของลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.2560 หมายเลข 533726 จำนวน 1 ชุด 5 ใบ มูลค่า 30 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ตำรวจภูธรภาค 7 โอนคดีดังกล่าวมาให้ตำรวจกองปราบฯ ดูคดีนี้แทน เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กระทั่งในเวลาต่อมา ตำรวจกองปราบฯ ได้หลักฐานเป็นคลิปเสียงการสนทนาระหว่างแม่ค้าที่ขายลอตเตอรี่กับครูปรีชา โดยแม่ค้าถามครูปรีชาว่า ถูกรางวัลที่ 1 ใช่หรือเปล่า แต่นายปรีชายืนยันว่า ไม่ถูก พร้อมบอกเลขที่ตนซื้อ ซึ่งไม่ตรงกับรางวัลที่ 1 แต่อย่างใด

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังสื่อเผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านครูปรีชา เพื่อสัมภาษณ์เรื่องคลิปเสียง แต่ครูปรีชาไม่อยู่บ้านแต่อย่างใด เช่นเดียวกับนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าขายลอตเตอรี่ ที่เป็นเจ้าของเสียงในคลิปสนทนากับครูปรีชา ก็ไม่อยู่บ้าน และไม่ได้ออกไปขายลอตเตอรี่ที่แผงประจำแต่อย่างใด

ด้านหมวดจรูญให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับเงินรางวัลจากลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ดังกล่าว 30 ล้านและหักภาษีแล้ว ได้นำไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย และได้เบิกเงินออกมาใช้จ่ายค่าบ้าน ค่ารถยนต์ 5,500,000 บาท แต่ปรากฏว่า หลังจากนั้นได้ถูกพนักงานสอบสวนทำเรื่องอายัดเงินในบัญชีไว้ และต่อมา นายปรีชาได้ทำเรื่องขอให้ศาลอายัดเงินซ้ำไปอีกครั้ง ซึ่งศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้นัดไปขึ้นศาลในคดีแพ่งที่ครูปรีชาฟ้องหมวดจรูญ ในความผิดฐานละเมิด เรียกทรัพย์คืน ในวันที่ 12 ก.พ.

ซึ่งเมื่อถึงกำหนดที่ศาลนัด ทั้งฝ่ายครูปรีชาและหมวดจรูญต่างเดินทางไปศาล แม้ผู้พิพากษาจะพยายามให้คู่กรณีไกล่เกลี่ยกัน แต่ทั้งคู่ยืนยันจะไม่ยอมความกัน ศาลจึงได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1-4 พ.ค. และนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 8, 9 และ 11 พ.ค.

วันต่อมา 13 ก.พ. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พูดถึงคดีหวยอลเวง 30 ล้านว่า ส่วนตัวยอมรับว่า เป็นคดีคล้ายกับกรณีครูจอมทรัพย์ และว่า กรณีนี้ต้องมีคนถูกดำเนินคดีอยู่แล้ว และหากพบมีคนเกี่ยวข้องในการทำพยานหลักฐานหรือในส่วนที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจท้องที่หรือไม่ก็ตาม

พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังเผยเหตุผลที่ให้โอนคดีนี้ให้ตำรวจกองปราบฯ ดูแลแทนว่า มี 3 เหตุผล 1.เรื่องของการไม่ได้รับความเป็นธรรม 2.ประชาชนให้ความสนใจ และ 3.มีการกระทำเป็นขบวนการ

วันเดียวกัน ครูปรีชาได้ออกมาปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า ตนได้นัดกลุ่มแม่ค้าลอตเตอรี่ รวมทั้งทนายความไปพูดคุยกันเรื่องคดีนี้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี ว่าไม่จริงแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า ตนได้ทำลอตเตอรี่ตกหล่นจริง แต่บริเวณใดไม่ทราบ

วันต่อมา 14 ก.พ. นางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ให้กับครูปรีชา ได้ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณชนแล้ว หลังเก็บตัวเงียบไม่อยู่ที่บ้านและไม่ออกมาขายลอตเตอรี่ที่แผงตั้งแต่คลิปเสียงที่สนทนากับครูปรีชาถูกเผยแพร่เป็นข่าว ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากออกมาขายขายลอตเตอรี่ตามปกติ เมื่อเจอหน้านักข่าว เจ๊บ้าบิ่นรีบหยิบหนังสือสวดมนต์ออกมานั่งอ่านบทแผ่เมตตาให้ผู้สื่อข่าวฟัง พร้อมออกตัวไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยอ้างว่าเกรงจะเสียรูปคดี

ต่อมาวันที่ 15 ก.พ. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการปราบปรามได้เดินทางไป สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อซักถามตำรวจ 5 นายที่เคยเป็นพนักงานสอบสวนคดีหวย 30 ล้าน นอกจากนี้ตำรวจกองปราบฯ ประมาณ 100 นาย ยังได้กระจายกำลังกันลงพื้นที่ เพื่อเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาซักถาม เช่น นางรัตนาพร หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ให้ครูปรีชา และเป็นเจ้าของเสียงในคลิปที่สนทนากับครูปรีชา, นางดุษฎี หรือกุ้ง ที่อ้างว่าเห็นลอตเตอรี่หมายเลขที่ถูกรางวัลที่ 1 โผล่มาจากกระเป๋าเสื้อครูปรีชา และได้ขอแบ่งซื้อ แต่ครูปรีชาไม่ยอมขายให้ และนายแผน ที่อ้างว่าเห็นคนตะโกนว่า “ลอตเตอรี่ใครหล่น”

ซึ่งต่อมา ตำรวจได้เรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำจำนวน 8 คนที่สถานีตำรวจทางหลวง 6 อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี แบ่งเป็นตำรวจ 5 นาย คือ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี และตำรวจยศ พ.ต.ท., พ.ต.ต.,ร.ต.อ. และ ด.ต. ส่วนพลเรือนมี 3 ราย ได้แก่ นางรัตนาพรหรือเจ๊บ้าบิ่น, นางพัชริดา หรือเจ๊พัช และนายแผน ส่วนนางดุษฎี หรือกุ้ง ซึ่งเป็นข้าราชการศาล ยังไม่มาให้ปากคำ ต้องรอให้ต้นสังกัดอนุญาตก่อน

มีรายงานว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น เจ๊บ้าบิ่นและเจ๊พัช ยังคงให้การตามเดิม ส่วนตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี 4 นาย ให้การกรณีเชื่อว่าลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 เป็นของครูปรีชาว่า เป็นเพราะการเข้าให้ปากคำในครั้งแรกของหมวดจรูญนั้น ไม่สามารถระบุข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับที่มาของลอตเตอรี่ดังกล่าวได้เลย จึงเชื่อว่าเจ้าของที่แท้จริงน่าจะเป็นครูปรีชา ขณะที่ พล.ต.ต.สุทธิ ให้การว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดเบื้องลึกของคดีหวย 30 ล้านมากนัก เนื่องจากมอบหมายให้พนักงานสอบสวนของท้องที่เป็นผู้ดำเนินการในตอนแรก

รายงานแจ้งด้วยว่า มีเพียงนายแผนเพียงคนเดียว ที่ให้ปากคำต่างไปจากเดิม ซึ่งคราวแรกนายแผนให้การว่า หมวดจรูญเก็บลอตเตอรี่จากพื้น แต่คราวนี้กลับคำให้การว่า ได้ยินเสียงแว่วว่า มีคนทำลอตเตอรี่ตก จึงหันไปดู ก็พบว่าเป็นชายลักษณะคล้ายกับหมวดจรูญ กำลังก้มลงเก็บลอตเตอรี่แล้ว แต่ไม่แน่ชัดว่าใช่หมวดจรูญหรือไม่

ด้าน พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งนั่ง ฮ.ลงพื้นที่มาสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องด้วยตนเอง เผยว่า จากการสอบปากคำพยานทั้งหมดพบว่า ค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อคดีมาก ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี และว่า ที่เชิญตำรวจในพื้นที่มาสอบปากคำด้วย เพราะต้องการทราบที่มาที่ไปและขั้นตอนการดำเนินคดีตั้งแต่เริ่มแจ้งความจนถึงการสืบสวนสอบสวน หากพบขั้นตอนใดบกพร่องหรือผิดพลาดจริง ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ยืนยันไม่มีการปกป้อง แม้จะเป็นตำรวจด้วยกันเอง

พล.ต.ท.ฐิติราช เผยด้วยว่า “จากการสอบปากคำเจ๊บ้าบิ่น เบื้องต้นยังคงให้การเหมือนเดิม ทั้งที่ได้แสดงข้อมูลที่ขัดแย้งเกี่ยวกับคำให้การและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ให้ดูแล้ว แต่เจ๊บ้าบิ่นยังยืนกราน ถือเป็นสิทธิของเขา ผมถือว่าให้โอกาสแล้ว และให้ความยุติรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย หากผลสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องยอมรับสภาพจากการกระทำ” พล.ต.ท.ฐิติราช ยืนยันด้วยว่า ไม่เกินสิ้นเดือน ก.พ.นี้ ทุกอย่างน่าจะจบ

มีรายงานว่า ขณะนี้ ชุดสืบสวนของกองปราบฯ ได้แบ่งกลุ่มผู้กระทำความผิดออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่กระทำความผิดโดยเจตนาและสมรู้ร่วมคิดในการกระทำความผิดมาตั้งแต่เริ่มแรก โดยพบว่า กลุ่มนี้มีผู้กระทำความผิดหลักชัดเจนแล้ว 2 คน พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับข้อหาให้การเท็จเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับผิดในคดีอาญา ส่วนกลุ่มที่สอง จะพิจารณาจากคำให้การและพฤติกรรมประกอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า มีใครเข้าข่ายกระทำความผิดเพิ่มเติม ซึ่งกลุ่มนี้อาจจะมีตำรวจภูธรภาค 7 รวมอยู่ด้วย

4.กรธ. แถลงเห็นแย้ง 2 ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือก ส.ส.-การได้มาซึ่ง ส.ว. ลุ้น สนช.คว่ำ กม.หรือไม่ ด้าน พท.ดักคออย่าสมคบคิดเลื่อนเลือกตั้ง!
(ซ้าย) ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (ขวา) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)
ความคืบหน้ากรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ในวาระ 2 และ 3 แล้วเมื่อวันที่ 25-26 ม.ค.ที่ผ่านมา จากนั้น สนช.ได้ส่งร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อพิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งหรือไม่ หากมีฝ่ายใดโต้แย้ง ต้องตั้งคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อพิจารณาภายใน 15 วัน ก่อนส่งให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาอีกครั้ง

ปรากฏว่า ในที่สุด กรธ.ได้มีความเห็นโต้แย้งไปยัง สนช. โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ. นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ.แถลงว่า กรณีร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือก ส.ส. กรธ. มีความเห็นแย้ง 4 ประเด็น คือ 1.การจำกัดสิทธิห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำหรับผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 2.การเปิดให้มีการจัดมหรสพระหว่างการหาเสียง 3.การขยายเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็น 07.00-17.00 น. และ 4.การให้เจ้าหน้าที่ช่วยผู้พิการกาบัตรลงคะแนน ซึ่ง กรธ.เห็นว่า ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาในเชิงเทคนิค ดังนั้นไม่ยากที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นและทำให้เกิดข้อยุติได้

ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ทาง กรธ.โต้แย้งใน 3 ประเด็นที่เห็นว่าขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คือ 1.การแก้ไขกลุ่มอาชีพผู้สมัคร ส.ว. 2.การแบ่งประเภทผู้สมัครเป็น 2 ประเภท โดยวิธีสมัครและคัดเลือกโดยองค์กร ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการเลือก ส.ว.ตามกฎหมายนี้ และ 3.วิธีการเลือกไขว้

นายอุดมเผยถึงกระบวนการหลังจากนี้ด้วยว่า ต้องตั้ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย คือ กรธ.-กกต.-สนช. และหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนของ กมธ.ร่วมแล้ว จะเป็นหน้าที่ของ สนช.ในการลงมติในประเด็นที่มีการโต้แย้งแต่ละประเด็นว่า จะเห็นชอบหรือไม่ ถ้ามีประเด็นใดที่ สนช.มีมติเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วยเสียงเกิน 2 ใน 3 จะมีผลให้ร่าง พ.ร.ป.ดังกล่าวตกไปทั้งฉบับทันที

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ออกมาดักคอ สนช.ว่า “ถ้าคิดจะใช้วิธีการเพื่อให้ร่างกฎหมายตกไป เพื่อยกร่างกฎหมายกันใหม่ อันจะทำให้แม่น้ำทุกสายได้อยู่ในอำนาจกันต่อไป และการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด คิดว่าประชาชนส่วนใหญ่คงรับไม่ได้ ซึ่งจะเข้าข่ายเป็นการสมคบคิดกันเหมือนที่เคยตั้งข้อสังเกตไว้ และ คสช.รวมถึงองค์กรในเครือข่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ”

ขณะที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ยืนยันว่า สนช.ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น หากทำคงทำไปก่อนหน้านี้แล้วที่จะใช้เสียงเพียงแค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะมีคว่ำในชั้นนี้ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 คือ 166 เสียง จาก 248 เสียง ถือว่ายากมาก อีกทั้งในประเด็นร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้มีประเด็นใดที่จะตกลงกันไม่ได้ ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มีประเด็นเดียวคือ การเปลี่ยนวิธีการได้มาของ ส.ว. ซึ่งยังสามารถพูดคุยเจรจากันได้ ไม่มีอะไรที่ต้องมาคว่ำ

5.คสช. แจ้งความเอาผิด 50 แกนนำ-ผู้ชุมนุมทางการเมือง ยุยงปลุกปั่น "เนติวิทย์" โดนด้วย!

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้มอบอำนาจให้ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่คณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีแกนนำและผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา จำนวน 43 คน ในข้อหาร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป และร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธี อื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

โดย 43 คนดังกล่าว ประกอบด้วย 1. นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ 2. นายพรชัย ประทีปเทียนทอง 3. นางกมลวรรณ หาสารี 4. นางนภัสสร บุญรีย์ 5. น.ส.มัทนา อัจจิมา 6. นางพรนิภา งามบาง 7. นางประนอม พูลทวี 8. นางรักษิณี แก้ววัชระรังษี 9. นายกิตติธัช สุมาลย์นพ 10. นายศักดิ์ชาย วงดวงแก้ว 11. นายณราชัย รังโปดก 12. นายสมบัติ ทองย้อย 13. นายปรีชา มีศิริ 14. นางรัตนา ผุยพรม 15. นายสุธี วังถนอมศักดิ์ 16. นายบริบูรณ์ เกียงวรางกูร 17. นายปิยรัฐ จงเทพ 18. นายประสาน กรองทอง 19. นายวิรุฬห์ นันทภูษิตานนท์ 20. นางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์

21. นายนัชชชา กองอุดม 22. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล 23. นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง 24. นายอนุสรณ์ อุณโณ 25. นางยุภา แสงใส 26. นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา 27. น.ส.สุนันทรัตน์ ยุกตรี 28. นายพงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิสกุล 29. นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ 30. นายณัฐพล วนาโรจน์ 31. นายโกวิทย์ ชมมิน 32. นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ 33. น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล 34. น.ส.กิ่งกนก ธนจิโรภาส 35. นายโชคดี ร่มพฤกษ์ 36. นายสุรศักดิ์ อัศวเสนา 37. น.ส.วลี ญาณะหงษา 38. นางจุฑามาศ ทรงเสียงไซย 39. น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก 40. นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล 41. นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ 42. นายเอกศักดิ์ สุพรรณขันธ์ และ 43. น.ส.พัฒน์นรี ชาญกิจ

ทั้งนี้ คสช.ได้ทยอยแจ้งความดำเนินคดีแกนนำและผู้ชุมนุมกลุ่มดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ. แจ้งความดำเนินคดีไป 6 คน ประกอบด้วย 1.นายรังสิมันต์ โรม 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว 3.นายกาณฑ์ พงษ์ประพันธ์ 4.นายอานนท์ นำภา 5.น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา 6.นายสุกฤษณ์ เพียรสุวรรณ ต่อมา วันที่ 14 ก.พ แจ้งความดำเนินคดีอีก 1 คน คือ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว รวมผู้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้ว 50 คน

สำหรับพฤติการณ์ของคดีนั้น แกนนำผู้ชุมนุมได้ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล และ คสช. ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และพยายามยุยงปลุกปั่นให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล และ คสช.

มีรายงานว่า ผู้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีล็อตหลัง 43 คนนี้ ส่วนใหญ่เคยออกมาเคลื่อนไหวกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ขณะที่บางคนเป็นบุคคลเป้าหมายที่หน่วยงานความมั่นคงจับตาความเคลื่อนไหวอยู่แล้วก่อนหน้านี้

ส่วนกรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหาบางคนออกมาพูดว่าตนไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้ไปในที่เกิดเหตุนั้น แหล่งข่าวจาก คสช. เผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งทหาร ตำรวจ มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหามาอยู่ในพื้นที่การชุมนุม จึงสามารถเข้าแจ้งความดำเนินคดีได้


กำลังโหลดความคิดเห็น