ภายหลังกองทัพบกออกมาแถลงถึงสาเหตุการตายของน้องเมย “ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” ฝ่ายพี่สาวเผยความรู้สึก พร้อมเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เป็นเรื่อง!” ทางช่อง News 1 ลั่น! จะขอสู้จนถึงที่สุด
นางสาวสุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย เผยกับทางรายการ “เป็นเรื่อง!” ว่าทางครอบครัวได้นำข้อมูล พยานหลักฐานต่างๆ ทั้งทางการแพทย์ ข้อมูลจากทางหวังดี และอ้างอิงจากตัวบุคคลต่างๆ ไปยื่นให้กับ พนักงานสอบสวน สน.นครนายก และ สน.บ้านนา จ.นครนายก เพื่อที่จะแยกสอบปากคำในแต่ละส่วน ซึ่งข้อมูลบางส่วนที่ทางครอบครัวมี แต่ทางกองทัพไม่มีคือ ผลจากทางโรงพยาบาลสมิติเวช และเอกสารทางที่ไปขอมา
“การแถลงของกองบัญชาการกองทัพไทยที่ผ่านมา แถลงถึง 2 ประเด็นที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต ซึ่งประเด็นแรกคือตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ช่วงเช้า น้องเมยได้เข้าโรงพยาบาล จากนั้นโทรหาผู้ปกครอง ต่อมาได้มีการล้มลงต่อหน้าเพื่อน 4 คน แพทย์ทำ CPR ติดต่อกัน 4 ชม. แล้วน้องก็เสียชีวิต แต่ทางกองทัพก็สรุปว่า ไม่มีผู้ใดลงโทษจนทำให้น้องเสียชีวิต ประเด็นที่ 2 คือเรื่องที่ทางบ้านติดใจเรื่องแผลฟกช้ำต่างๆ ซึ่งกล้องวงจรปิดก็จับภาพได้ว่าน้องวิ่งไปตามลำพังแล้วก็ตกบันได 8 ขั้น แล้วก็มีครูพละได้เดินมาดู พบนอนตะแคง และมือกุมหน้าอก และจากการตรวจพบ มีการจุกบริเวณหน้าอกแล้วก็ส่งไปที่กองแพทย์ ซึ่งเป็นการค้านกับทางครอบครัวของน้องเมย”
นางสาวสุพิชา กล่าวต่อไปว่า ที่ทางกองทัพได้ยืนยันว่าไม่มีผู้ใดลงโทษ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ก็ต้องใช้ผลทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าไม่ได้มีใครมาทำอะไรน้องจริง มันก็ต้องมีคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่พบเจอในร่างกายน้องเกิดมาจากอะไร
“อันนี้ต้องบอกว่า ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าจากที่เราฟังกองทัพแถลง พยานในโรงเรียน หรือว่าในที่เขาไปสอบปากคำมา จะให้การไปในทางเดียวกันกับที่กองทัพแถลง ซึ่งมันก็ไม่ได้ชี้อะไรให้เราเห็นมากนัก เราจึงต้องหาพยานตรงอื่นมาเพิ่มเติมให้น้ำหนักกับตรงนี้ให้ได้
“เราจะให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยทำงานให้เต็มที่ก่อน เราจะไม่เข้าไปขัดอะไร แต่ถ้า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเขาได้ทำสุดความสามารถแล้ว เขาไม่สามารถทำได้ ทางครอบครัวจะต้องหาทางออกถัดไปเพื่อไปเป็นตัวเลือกในการตรวจหาข้อมูล
“ครอบครัวจะสู้จนสุดความสามารถ คือเรามาหาความจริง ถ้าเรายังหาไม่ได้เราก็จะหาต่อไปทุกวิถีทาง หากทราบว่า ถ้ามีผู้ใดเกี่ยวข้องว่าเป็นสาเหตุทำให้น้องเสียชีวิต จะดำเนินการจนถึงที่สุด เพราะจะได้มีบรรทัดฐานไว้ให้กับคนหลังๆ ได้ดูว่า การกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แล้วจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
นางสาวสุพิชา กล่าวในตอนท้ายว่า ไม่กลัวเรื่องเงียบ เพราะยังมีประชาชนที่คอยช่วยเหลือ คอยประคองกระแสให้เรื่องไม่เงียบ และทางครอบครัวก็จะเข้มแข็งเพื่อดำเนินคดีต่อไป
นางสาวสุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย เผยกับทางรายการ “เป็นเรื่อง!” ว่าทางครอบครัวได้นำข้อมูล พยานหลักฐานต่างๆ ทั้งทางการแพทย์ ข้อมูลจากทางหวังดี และอ้างอิงจากตัวบุคคลต่างๆ ไปยื่นให้กับ พนักงานสอบสวน สน.นครนายก และ สน.บ้านนา จ.นครนายก เพื่อที่จะแยกสอบปากคำในแต่ละส่วน ซึ่งข้อมูลบางส่วนที่ทางครอบครัวมี แต่ทางกองทัพไม่มีคือ ผลจากทางโรงพยาบาลสมิติเวช และเอกสารทางที่ไปขอมา
“การแถลงของกองบัญชาการกองทัพไทยที่ผ่านมา แถลงถึง 2 ประเด็นที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต ซึ่งประเด็นแรกคือตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ช่วงเช้า น้องเมยได้เข้าโรงพยาบาล จากนั้นโทรหาผู้ปกครอง ต่อมาได้มีการล้มลงต่อหน้าเพื่อน 4 คน แพทย์ทำ CPR ติดต่อกัน 4 ชม. แล้วน้องก็เสียชีวิต แต่ทางกองทัพก็สรุปว่า ไม่มีผู้ใดลงโทษจนทำให้น้องเสียชีวิต ประเด็นที่ 2 คือเรื่องที่ทางบ้านติดใจเรื่องแผลฟกช้ำต่างๆ ซึ่งกล้องวงจรปิดก็จับภาพได้ว่าน้องวิ่งไปตามลำพังแล้วก็ตกบันได 8 ขั้น แล้วก็มีครูพละได้เดินมาดู พบนอนตะแคง และมือกุมหน้าอก และจากการตรวจพบ มีการจุกบริเวณหน้าอกแล้วก็ส่งไปที่กองแพทย์ ซึ่งเป็นการค้านกับทางครอบครัวของน้องเมย”
นางสาวสุพิชา กล่าวต่อไปว่า ที่ทางกองทัพได้ยืนยันว่าไม่มีผู้ใดลงโทษ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ก็ต้องใช้ผลทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าไม่ได้มีใครมาทำอะไรน้องจริง มันก็ต้องมีคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่พบเจอในร่างกายน้องเกิดมาจากอะไร
“อันนี้ต้องบอกว่า ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าจากที่เราฟังกองทัพแถลง พยานในโรงเรียน หรือว่าในที่เขาไปสอบปากคำมา จะให้การไปในทางเดียวกันกับที่กองทัพแถลง ซึ่งมันก็ไม่ได้ชี้อะไรให้เราเห็นมากนัก เราจึงต้องหาพยานตรงอื่นมาเพิ่มเติมให้น้ำหนักกับตรงนี้ให้ได้
“เราจะให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยทำงานให้เต็มที่ก่อน เราจะไม่เข้าไปขัดอะไร แต่ถ้า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเขาได้ทำสุดความสามารถแล้ว เขาไม่สามารถทำได้ ทางครอบครัวจะต้องหาทางออกถัดไปเพื่อไปเป็นตัวเลือกในการตรวจหาข้อมูล
“ครอบครัวจะสู้จนสุดความสามารถ คือเรามาหาความจริง ถ้าเรายังหาไม่ได้เราก็จะหาต่อไปทุกวิถีทาง หากทราบว่า ถ้ามีผู้ใดเกี่ยวข้องว่าเป็นสาเหตุทำให้น้องเสียชีวิต จะดำเนินการจนถึงที่สุด เพราะจะได้มีบรรทัดฐานไว้ให้กับคนหลังๆ ได้ดูว่า การกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แล้วจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
นางสาวสุพิชา กล่าวในตอนท้ายว่า ไม่กลัวเรื่องเงียบ เพราะยังมีประชาชนที่คอยช่วยเหลือ คอยประคองกระแสให้เรื่องไม่เงียบ และทางครอบครัวก็จะเข้มแข็งเพื่อดำเนินคดีต่อไป