กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างวงกว้างในช่วงเวลานี้ สำหรับ ‘ยาซอมบี้’ ซึ่งเป็นสารเสพติดชนิดใหม่ ที่มีผลร้ายแรงให้กับผู้เสพ ให้ได้ความท้าทายใหม่ๆ ขึ้น เพราะความแรงของยาตัวนี้มีผลสูงกว่ายาบ้าและยาไอซ์ ขณะที่ส่วนผสมของมัน ก็สามารถฆ่าคนได้ง่ายๆ ด้วยการสัมผัส ซึ่งสร้างวิตกต่อผู้ปกครองของเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง
จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้เอง รายการเป็นเรื่อง! ทางช่อง News1 จึงได้ต่อสายคุยเพื่อขอความกระจ่าง กับ “พล.ต.ต.นัย อภิชาตเสนีย์” รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องยาซอมบี้ ว่ามีที่มาและสถานการณ์ล่าสุดในบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร

“ถ้าให้พูดถึงยาซอมบี้อย่างง่ายๆ และเข้าใจ มันก็คือยาบ้าบ้านเรา ก็พอจะคุ้นเคยและรับรู้ มันเป็นยาตระกูลเดียวกัน มันเป็นยาที่ทำให้เสพติดคือ แอฟเฟตามีน มาจากยาบ้า แต่ยาชนิดนี้ได้มการทดลองจากนักเคมี มีการจัดเรียงโมเลกุลใหม่ เพิ่มส่วนผสม ทำให้มีความแรงขึ้นกว่ายาบ้าหรือยาไอซ์ มีความแรงขึ้นเป็นสิบๆ เท่า เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบเทียบว่าถ้าเราเห็นคนที่เสพยาบ้าแล้วมีอาการบ้า ขึ้นไปปีนเสาไฟฟ้า เอามีดไปจี้คอคนอื่น แต่เพิ่มความบ้าไป 20 เท่า มันก็จะเป็นซอมบี้ ก็คือฤทธิ์มันจะรุนแรงกว่า อย่างยาบ้าถ้าเราไม่เสพต่อมันก็จะหมดฤทธิ์ แต่ยาตัวนี้มันมีผลต่อประสาท ก็อยู่ได้ 3-4 วัน คือบ้านานกว่า
“ส่วนในเรื่องความนิยมนั้น บ้านเรายังไม่เป็นที่นิยมนะ มันน่ากลัวมากกว่าที่จะนิยมนะครับ คือดูแล้วมันทำลายโครงสร้างทางด้านร่างกายทางการรับรู้ทางจิตประสาทแบบรุนแรง อย่างที่พูดครับ การเสพยาเสพติดมันก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ ซึ่งจากการเสพเจ้ายาตัวนี้นะครับ จากข้อมูลของต่างประเทศ พบว่า ส่วนหนึ่งพอถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะฆ่าตัวตายเอง อีกส่วนหนึ่งก็จะประสบอุบัติเหตุตาย อีกส่วนหนึ่งมีการ โอเวอร์โดส หรือมีการเฉียบพลันในร่างกาย
“ในเรื่องของการเฝ้าระวัง มันก็มีขั้นตอนปกติอยู่แล้ว แต่เราก็ได้รับการแจ้งเตือนจากหน่วยงานยาเสพติดจากต่างประเทศ ให้มีการระมัดระวังครับ แต่ยังไม่ปรากฎในไทย ซึ่งในกลุ่มยาตัวนี้ เขาก็แจ้งเตือนมาเหมือนกันให้ระมัดระวังครับ เพราะว่าสื่อมวลชนให้ความสนใจ ให้ความเห็นไปหลายครั้ง ซึ่งผมมองว่าดีนะ เพราะมันดูน่ากลัวกว่าน่าเสพ และไม่สามารถที่จะมาบำบัดได้ เพราะว่ามันรุนแรง คือถ้าหลวมตัวไปเสพนี่คือไปเกิดใหม่เลยครับ ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นคนปกติได้ เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องระมัดระวัง และชี้ให้ลูกหลานเห็นว่า อยากเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ส่วนวิธีในการเสพนั้น ต้องไปทำให้เจือจาง เหมือนกับน้ำหอมน่ะครับ เวลาจะเอาไปใช้ก็ต้องผสมซะก่อน พวกนี้ก็จะมีการเผาไฟแล้วสูดควัน
“ส่วนในเรื่องมีการลักลอบเข้ามานั้น มันก็ต้องใช้องค์ประกอบอื่น คือปกติเราจะดู อย่างเช่นว่า ผมเป็นตำรวจยาเสพติด ผมก็จะมีขั้นตอนในการดู อย่างเช่นรถเราก็ไม่ได้ตรวจทุกคันนะครับ มันก็มีเทคโนโลยีดูข้อมูล ดูประวัติ ดูหลายๆ อย่างประกอบ อย่างรถวิ่งสุวรรณภูมิแสนๆ คน วิ่งผ่านมาเป็นหมื่นคน เราก็ไม่ได้ดูทุกคนนะครับ เราก็จะมีขั้นตอน มีฐานข้อมูล มีการวิเคราะห์พอสมควร ที่จะไปเจาะไป ซึ่งพอเราวิเคราะห์แล้วเจอไปเนี่ย มันก็มีลักษณะว่า คนปกติไม่ควรจะมี แล้วขออนุญาตแจ้งเตือนไปกับเพื่อนข้าราชการตำรวจ ในหน่วยปราบปรามยาเสพติดทุกหน่วย หรือพี่ทหารเอง มันจะมี ยาเสพติดตัวใหม่ตัวนี้ขึ้นมา ที่จะมีการนำมาใช้
“แต่บ้านเรายังไม่มี ซึ่งตัวนี้มันต้องทำให้เจือจางก่อนถึงจะใช้ได้ แต่ในการนำไปขายหรือขนส่ง มันจะเข้มข้น ซึ่งถ้าจะใช่ก็อย่างที่บอกครับ ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้แล้วเอามือไปดมไปแตะ มันสามารถทำให้โอเวอร์โดสตายได้เลยนะครับ มันจะซึมเข้าผิวหนังและเสียชีวิตเลย แต่ผมไม่ขอบอกสารนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีการเอาไปใช้กัน คือถ้าเห็นเป็นน้ำหรืออะไร อย่าเที่ยวเอาไปแตะเลย คือเขาทำมาแบบเข้มข้นมาก เพื่อที่จะเอาไปเจือจางและผสม แต่ในการจำหน่าย เขาจะทำให้เข้มข้น เพื่อที่จะทำให้ซุกซ่อนง่าย”
จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้เอง รายการเป็นเรื่อง! ทางช่อง News1 จึงได้ต่อสายคุยเพื่อขอความกระจ่าง กับ “พล.ต.ต.นัย อภิชาตเสนีย์” รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องยาซอมบี้ ว่ามีที่มาและสถานการณ์ล่าสุดในบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร
“ถ้าให้พูดถึงยาซอมบี้อย่างง่ายๆ และเข้าใจ มันก็คือยาบ้าบ้านเรา ก็พอจะคุ้นเคยและรับรู้ มันเป็นยาตระกูลเดียวกัน มันเป็นยาที่ทำให้เสพติดคือ แอฟเฟตามีน มาจากยาบ้า แต่ยาชนิดนี้ได้มการทดลองจากนักเคมี มีการจัดเรียงโมเลกุลใหม่ เพิ่มส่วนผสม ทำให้มีความแรงขึ้นกว่ายาบ้าหรือยาไอซ์ มีความแรงขึ้นเป็นสิบๆ เท่า เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบเทียบว่าถ้าเราเห็นคนที่เสพยาบ้าแล้วมีอาการบ้า ขึ้นไปปีนเสาไฟฟ้า เอามีดไปจี้คอคนอื่น แต่เพิ่มความบ้าไป 20 เท่า มันก็จะเป็นซอมบี้ ก็คือฤทธิ์มันจะรุนแรงกว่า อย่างยาบ้าถ้าเราไม่เสพต่อมันก็จะหมดฤทธิ์ แต่ยาตัวนี้มันมีผลต่อประสาท ก็อยู่ได้ 3-4 วัน คือบ้านานกว่า
“ส่วนในเรื่องความนิยมนั้น บ้านเรายังไม่เป็นที่นิยมนะ มันน่ากลัวมากกว่าที่จะนิยมนะครับ คือดูแล้วมันทำลายโครงสร้างทางด้านร่างกายทางการรับรู้ทางจิตประสาทแบบรุนแรง อย่างที่พูดครับ การเสพยาเสพติดมันก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆ ซึ่งจากการเสพเจ้ายาตัวนี้นะครับ จากข้อมูลของต่างประเทศ พบว่า ส่วนหนึ่งพอถึงจุดๆ หนึ่ง ก็จะฆ่าตัวตายเอง อีกส่วนหนึ่งก็จะประสบอุบัติเหตุตาย อีกส่วนหนึ่งมีการ โอเวอร์โดส หรือมีการเฉียบพลันในร่างกาย
“ในเรื่องของการเฝ้าระวัง มันก็มีขั้นตอนปกติอยู่แล้ว แต่เราก็ได้รับการแจ้งเตือนจากหน่วยงานยาเสพติดจากต่างประเทศ ให้มีการระมัดระวังครับ แต่ยังไม่ปรากฎในไทย ซึ่งในกลุ่มยาตัวนี้ เขาก็แจ้งเตือนมาเหมือนกันให้ระมัดระวังครับ เพราะว่าสื่อมวลชนให้ความสนใจ ให้ความเห็นไปหลายครั้ง ซึ่งผมมองว่าดีนะ เพราะมันดูน่ากลัวกว่าน่าเสพ และไม่สามารถที่จะมาบำบัดได้ เพราะว่ามันรุนแรง คือถ้าหลวมตัวไปเสพนี่คือไปเกิดใหม่เลยครับ ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นคนปกติได้ เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องระมัดระวัง และชี้ให้ลูกหลานเห็นว่า อยากเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ส่วนวิธีในการเสพนั้น ต้องไปทำให้เจือจาง เหมือนกับน้ำหอมน่ะครับ เวลาจะเอาไปใช้ก็ต้องผสมซะก่อน พวกนี้ก็จะมีการเผาไฟแล้วสูดควัน
“ส่วนในเรื่องมีการลักลอบเข้ามานั้น มันก็ต้องใช้องค์ประกอบอื่น คือปกติเราจะดู อย่างเช่นว่า ผมเป็นตำรวจยาเสพติด ผมก็จะมีขั้นตอนในการดู อย่างเช่นรถเราก็ไม่ได้ตรวจทุกคันนะครับ มันก็มีเทคโนโลยีดูข้อมูล ดูประวัติ ดูหลายๆ อย่างประกอบ อย่างรถวิ่งสุวรรณภูมิแสนๆ คน วิ่งผ่านมาเป็นหมื่นคน เราก็ไม่ได้ดูทุกคนนะครับ เราก็จะมีขั้นตอน มีฐานข้อมูล มีการวิเคราะห์พอสมควร ที่จะไปเจาะไป ซึ่งพอเราวิเคราะห์แล้วเจอไปเนี่ย มันก็มีลักษณะว่า คนปกติไม่ควรจะมี แล้วขออนุญาตแจ้งเตือนไปกับเพื่อนข้าราชการตำรวจ ในหน่วยปราบปรามยาเสพติดทุกหน่วย หรือพี่ทหารเอง มันจะมี ยาเสพติดตัวใหม่ตัวนี้ขึ้นมา ที่จะมีการนำมาใช้
“แต่บ้านเรายังไม่มี ซึ่งตัวนี้มันต้องทำให้เจือจางก่อนถึงจะใช้ได้ แต่ในการนำไปขายหรือขนส่ง มันจะเข้มข้น ซึ่งถ้าจะใช่ก็อย่างที่บอกครับ ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้แล้วเอามือไปดมไปแตะ มันสามารถทำให้โอเวอร์โดสตายได้เลยนะครับ มันจะซึมเข้าผิวหนังและเสียชีวิตเลย แต่ผมไม่ขอบอกสารนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีการเอาไปใช้กัน คือถ้าเห็นเป็นน้ำหรืออะไร อย่าเที่ยวเอาไปแตะเลย คือเขาทำมาแบบเข้มข้นมาก เพื่อที่จะเอาไปเจือจางและผสม แต่ในการจำหน่าย เขาจะทำให้เข้มข้น เพื่อที่จะทำให้ซุกซ่อนง่าย”