xs
xsm
sm
md
lg

RELATIONSHIT : เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป “นิชา เจริญสุข” สาวศิลป์น้องใหม่ผู้ให้กำลังใจแก่ความรัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฟังแล้วอาจรู้สึกตงิดๆ เพราะ “รีเลชันชิต” มันชวนป่วยเสียเหลือเกิน กระนั้นก็ดี นี่ไม่ใช่การจะมาตอกย้ำซ้ำเติมสำหรับคนหัวใจเศร้า เพราะสิ่งที่ศิลปินสาวอยากบอกเล่ากล่าวแชร์ผ่านผลงานศิลปะสีสันสดใส คือกำลังใจแห่งชีวิต ให้ความคิดกล้าแกร่งและมีเรี่ยวแรงที่จะก้าวต่อไป

“แก๊ป-นิชา เจริญสุข” อาจเป็นคนหน้าใหม่สำหรับประชากรในโลกแห่งงานศิลป์ อย่างไรก็ดี นี่คือหญิงสาวที่มีความรักชอบในงานศิลปะอยู่ในเส้นเลือดทุกเส้น จากการวาดรูปแทบทุกวันตั้งแต่เด็กจวบจนปัจจุบัน แม้จะขลุกอยู่กับงานด้านโฆษณา ยังคงเจียดเวลาวาดภาพเป็นชีวิตจิตใจ ก่อนที่ความรักชอบนั้นจะผ่านการบ่มเพาะจนสุกงอม พร้อมกับการก่อกำเนิดเกิดขึ้นของหัวข้อเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ที่นำไปสู่ผลงานชิ้นล่าสุดอย่างที่บอกไปเบื้องต้น... Relationshit

รีเลชั่น (Relation) คือความสัมพันธ์ ลงท้ายด้วยคำว่า “ชิท” (Shit)
มันชวนให้คิดว่า “ความสัมพันธ์” นั้น “ชิต” อย่างไร?
ช่วงบ่ายอ่อนๆ ของวันที่ไม่ร้อนมาก เราเดินทางไปพบกับศิลปินสาวที่จุดนัดพบ ณ ร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้แยกผ่านฟ้า ที่ซึ่งเธอจัดแสดงผลงาน และเมื่อได้คุยกัน เราจึงถึงบางอ้อว่าแท้จริงแล้วนั้น ความสัมพันธ์มันก็ไม่ได้ “ชิต” เสมอไปหรอกนะ

• ได้ยินชื่องานแล้ว เหมือนกับว่าเจ้าของผลงานน่าจะรู้สึกไม่ดีกับเรื่องความสัมพันธ์มากมายเลย

(หัวเราะ) ก็ไม่นะคะ คือแก๊ปคิดว่า กับเรื่องความรักความสัมพันธ์ ทุกคนเคยเจอความเจ็บปวดผิดหวังมาแล้วทั้งนั้น และบางครั้ง ความผิดหวังมันก็กลายเป็นความทรงจำที่ฝังเข้าไปในส่วนลึก เพราะฉะนั้น มันจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลบที่อยู่ในใจเราตลอดเวลา เนื่องจากความทรงจำเรื่องความผิดหวังมันจะฝังใจ อย่างเวลาอกหักทีหนึ่ง ก็เจ็บนาน แล้วพอมันมีความทรงจำที่เราไม่สามารถเอาออกจากตัวเองไปได้

อย่างรูปนี้ (ชี้ไปที่ภาพใบหนึ่ง) ซึ่งเป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผิดหวังมากๆ จากความรัก ผิดหวังเสียจนเวลามองรูปภาพเดิมๆ ของคนที่เคยรัก ความทรงจำมันก็จะกลับเข้ามา กระทั่งว่า เหมือนกับความทรงจำนั้นมันมีชีวิต เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พยายามจะทำ ก็คือการฆ่าความทรงจำนั้น แต่การที่เราจะฆ่าความทรงจำนั้นๆ แก๊ปว่าสิ่งที่ใช้ได้มากที่สุด คือการเปลี่ยนมันมาเป็นบทเรียน เพื่อความสัมพันธ์ครั้งต่อไป เราจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร

• คือเราไม่ได้มองว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่แย่ใช่ไหม

ไม่ค่ะ เพราะว่าบทเรียนนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ

• ตรงนี้น่าสนใจ คือการเปลี่ยนความเจ็บปวดมาเป็นบทเรียน เพราะบางคนก็เปลี่ยนไม่ได้ และเก็บกักหล่อเลี้ยงความเจ็บปวดนั้นๆ ไว้ ไม่ปล่อยไปสักที

ถ้ามันเป็นสิ่งที่เจ็บจริงๆ เราก็คงไม่มีวันลืมมันได้ แต่ถ้าสมมติว่า เรามีหนึ่งปัญหา สิ่งที่เราควรจะทำ ก็คือมองมันจากทุกด้าน อย่างงานของแก๊ปชุดนี้ ถือว่าเป็นข้อดีของการที่เราทำงานโฆษณามา มันทำให้เรามองทุกสิ่งทุกอย่างแบบหลายมิติ เพราะโฆษณาหนึ่งชิ้น เมื่อเราได้ผลิตภัณฑ์มาหนึ่งโปรดักต์ เราก็ต้องมองทุกมุมว่าหนึ่งโปรดักต์นี้เราสามารถพูดอะไรได้บ้าง

เปรียบเหมือนชีวิต ถ้าคุณมีปัญหาปัญหาหนึ่ง อย่างความทรงจำที่แย่ที่คุณลืมไม่ได้ เรื่องการอกหัก แก๊ปเชื่อว่า ปัญหาหนึ่งปัญหา เราสามารถมองมันได้หลายๆ มุม อย่างน้อยห้ามุม ห้าความคิด แล้วเราเลือกมุมที่บวกที่สุด และใช้มุมนั้นในการดำเนินชีวิตต่อไป อย่างในงานชุดนี้ มันจะเป็นบทเรียนที่แก๊ปได้มา รูปของแก๊ปจึงมีสีสันสดใสและมีอารมณ์ขัน เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าเรามองในมุมที่บวกที่สุด มันก็ยังพออยู่ได้ และอยู่ได้ดีด้วย มีภูมิต้านทานมากขึ้น

• ปกติเวลาคนเราเจอเรื่องร้ายๆ เราก็มักจะโฟกัสอยู่กับความเจ็บปวดอย่างนั้น

ใช่ค่ะ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนมุมในการมองบ้าง เราจะรู้สึกดีขึ้น แล้วเราก็จะสามารถแก้ปัญหาในชีวิตได้แบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ว่า ความบ้าคลั่งหรือการเสียสติ คือการที่คนเราทำสิ่งเดิมๆ แต่คาดหวังผลลัพธ์ใหม่ หวังว่าผลลัพธ์มันจะแตกต่าง ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่เรียนรู้บทเรียน เราก็จะทำความผิดเดิมๆ แต่เราหวังว่าผลลัพธ์มันจะเปลี่ยน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แก๊ปไมได้คิดว่าตนเองเป็นเหมือนครูที่จะมาสอนบทเรียนอะไรแบบนั้นนะคะ แค่เป็นประสบการณ์ที่เราเอามาแชร์กันผ่านผลงานเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

• เนื่องจากงานพูดถึงความสัมพันธ์โดยตรง คุณมีทัศนะอย่างไรต่อเรื่องความสัมพันธ์ของคนเรา

มันไม่มีอะไรที่เพอร์เฟกต์อยู่ในนั้นค่ะ เพราะไม่ว่าเราจะรักใครก็ตาม หรือไม่ว่าใครมารักเราก็ตาม ไม่ว่าเราจะพยายามทำให้มันดีที่สุดมากเพียงใด มันก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง

• คล้ายๆ ว่าเวลาเราตกหลุมรัก เรามักจะมีภาพแบบสวยงามมากอยู่ในความคิด?

ใช่ ที่เขาเรียกกันว่าฮันนีมูนพีเรียด แต่สุดท้ายแล้ว มันจะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งนั้นที่เขาทำให้ผิดหวัง หรือเราทำให้เขาผิดหวัง เพราะความไม่เพอร์เฟกต์ของแต่ละฝ่าย

• ถามถึงที่มาหน่อยครับว่า เพราะอะไร ถึงใช้ชื่อ RELATIONSHIT ซึ่งฟังดูแรงเหมือนกัน

มันเข้ากับภาพและความจริงว่าทุกคนก็น่าจะเคยผ่านการมีรีเลชันชิตมาแล้ว อย่างเช่นว่า เราอาจจะคบกับใครบางคน แล้วสุดท้ายทำให้เราคิดได้ว่า โห ไปอยู่กับเขาทำไมนี่ เสียเวลามากเลย นั่นคือแบบอย่างของรีเลชันชิตสำหรับแก๊ปนะคะ แต่สำหรับคนที่มางาน เราไม่อยากให้เขาย้อนกลับไปเจ็บปวดอีกครั้งกับรีเลชันชิตครั้งเก่าก่อน ดูแล้วตอกย้ำให้เศร้า แต่แก๊ปอยากให้เขากลับไปด้วยความรู้สึกที่ว่าทุกคนเคยมี และมันไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายแล้ว ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตเรานี่แหละ จะมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น ดีขึ้น

แม้กระทั่งว่า ช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ถ้าเรามองมันหลายๆ มุม เราจะสามารถหยิบเอามุมที่บวกที่สุดมาทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และไม่ได้อยู่ต่อไปเฉยๆ นะ แต่อยู่อย่างดีขึ้นด้วย เพราะเมื่อเราเรียนรู้แล้ว ความรักครั้งต่อไป เราก็จะทำให้มันดีขึ้น แล้วถ้าเราทำให้มันดีขึ้นได้แล้ว เราก็จะมีความสุขมากขึ้น

• รีเลชันในงานชิ้นนี้ เน้นไปที่ความสัมพันธ์ชายหญิงใช่ไหม

ใช่ค่ะ เพราะแก๊ปคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเชื่อมโยงได้ และความสัมพันธ์ชายหญิง มันเป็นเรื่องที่เราควรเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น แก๊ปไม่ได้มองเรื่องรักว่าแย่หรืออะไร แต่ก็ไม่ใช่เบอร์หนึ่งซึ่งว่าจะต้องมี อย่างเวลาเราดูภาพจากพวกสื่อต่างๆ เช่น รายการทีวี ละคร แก๊ปสังเกตว่านางเอกเหมือนว่าจะต้องมีผู้ชาย ถึงจะเรียกว่าเต็มหรือสมบูรณ์ ซึ่งมันไม่ใช่เฉพาะกับผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่ใช้ได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย เพราะหลายคนจะรู้สึกว่า ถ้าเราไม่มีคู่ เราจะอยู่ไม่ได้ แต่แก๊ปคิดว่าเราอยู่ได้นะ แก๊ปคิดเสมอว่า การมีแฟนเป็นเหมือนการมีโบนัสชีวิต แต่ถ้าไม่มีโบนัสก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ไม่ได้

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งซึ่งแก๊ปชอบมาก คือเพลงของแพสชั่น พิท (Passion Pit) เพลงนั้นชื่อว่า “ความรักคือความโลภ” (Love is Greed) มันคือเพลงที่เปลี่ยนวิธีการมองความรักของแก๊ปไปเลย และก็ส่งอิทธิพลมาถึงงานชุดนี้เหมือนกัน เนื้อหาของเพลงมันพูดว่า ความรักคือความโลภ อยากจะเป็นเจ้าของ ยิ่งเขาให้เรา เรายิ่งโลภ ต้องการไม่สิ้นสุด แต่แก๊ปฟังเพลงนั้นแล้ว เราก็กลับมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ดีนะ เพราะถ้าเราเติมเต็มตัวเราได้ ถ้าเรารู้สึกว่าเราพร้อม ครบ มีทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องการใคร มีปัญหาเราแก้ไขเองได้ มันจะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ขาดอะไร เวลาเราไม่ขาด เมื่อได้ใครคนหนึ่งมา เราก็จะไม่เรียกร้องว่า “ให้ฉันสิ ฉันขาดอยู่ๆๆ”

แก๊ปว่าคำถามเบอร์หนึ่งสำหรับชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ว่า คู่เราคือใคร คู่เราจะเป็นแบบไหน แต่ควรจะเป็นว่า เราทำให้ตัวเราเอง เติมเต็มตัวเองได้อย่างไร ไม่จำเป็นต้องรอคอย เพราะว่าถ้ารอคอยแล้วเราได้คนมาสักคนหนึ่งเป็นแฟนหรือเป็นคู่ครอง เราจะรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของเขามากเลยนะ แล้วจะยิ่งเหมือนจับเขาอยู่ในกรง “เธอจะต้องเป็นอย่างงี้นะ จะต้องทำอย่างงี้นะ จะต้องๆๆ” มันถึงมีปัญหาขึ้นมา

แต่ถ้าแบบว่า ฉันโอเค คุณก็โอเค เราอยู่ด้วยกัน เราเท่าเทียมกัน ไม่มีใครถือการ์ดเหนือกว่าใคร เราเป็นคู่เต็มแล้ว มันถึงจะดี เพราะเราจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องแบบว่า เธอเป็นของฉันนะ อย่างงู้นอย่างงี้ เราต้องเต็มในตัวเองก่อน เหมือนอย่างคำที่เขาพูดกันว่า ก่อนจะรักใคร เราต้องรักตัวเองก่อน จริงมากๆ คำนี้ และแม่แก๊ปก็บอกแก๊ปมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า เรารักใครไม่ได้จริงๆ หรอก ถ้าเรายังไม่รักตัวเราเอง แก๊ปน่าจะเชื่อแม่มาตั้งนานแล้ว (หัวเราะ)

• อาจจะเป็นคำถามสำเร็จรูป แต่ในเมื่อเห็นว่างานชุดนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ จึงขอถามเป็นความรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยค้ำชูความรักความสัมพันธ์ให้ยาวนานยั่งยืน

ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจเยอะ ต้องแลกเปลี่ยนสถานการณ์กันได้ สมมติว่าแฟนของเรามีปัญหาอย่างนั้นๆ สิ่งที่เราควรจะพยายามทำในฐานะที่เป็นคู่ที่ดี ก็คือเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เขา แล้วคิดดูว่าเขาเจออะไรอยู่บ้าง แล้วก็ทำความเข้าใจ ใจเขาใจเรา แก้ปัญหาไปด้วยกัน เนื่องจากว่า ถ้าคู่เป็นโบนัสแล้ว ถ้าคู่ไม่ดีหรือไม่มีความเข้าใจให้แก่กัน ไม่ช่วยกันแก้ปัญหา ไม่มีเสียดีกว่า อยู่คนเดียวน่าจะดีกว่า (หัวเราะ)



*** หมายเหตุ: สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้าชมงานศิลปะชุดนี้ได้ที่ร้านไดอะล็อก ถ.พระสุเมรุ เขตพระนคร กทม.ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 มิถุนายน 2558 สอบถามเส้นทาง โทร.08-4754-8799

ภาพโดย: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม


กำลังโหลดความคิดเห็น