บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) วางแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 หุ้น ระดมทุนขยายโรงงานใหม่ รองรับความต้องการใช้ฉลากสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการ์ณโควิด-19 คลี่คลาย คาดว่า จะเข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 4/63
นายซุง ชง ทอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) (SFT) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน โดยอาศัยจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปมานานกว่า 12 ปี ตอบโจทย์ทางการตลาดในการสร้างภาพลักษณ์แก่แบรนด์สินค้า (Brand Identity) ผ่านการให้บริการที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ,การเลือกรูปทรงบรรจุภัณฑ์และการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ ,ให้คำปรึกษาด้านเทคนิคการหดตัวของฉลากฟิล์ม (ชริ้ง) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ในครัวเรือน
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีฐานลูกค้าหลักรายใหญ่ เช่น บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด, บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป, บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด
นายซุง มองว่า ส่วนแบ่งตลาดในไทย ยังขยายได้เพิ่มเติม จากปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ประมาณ 80% ของบริษัทกระจุกอยู่ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จึงต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปขยายโรงงาน รองรับกำลังการผลิตและลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มเติม
นางรสสุคนธ์ ศานติกุลวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน SFT กล่าวว่า ผลดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปี 63 บริษัททำรายได้รวม 330.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.05% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 294.95 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 49.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ที่ทำได้ 43.40 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็น 80% ของฐานลูกค้าทั้งหมด มียอดสั่งผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปเพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการสินค้า ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดต่อหน่วย ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดี
ด้านนายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บล.อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน SFT กล่าวว่า หลังจาก SFT ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) ล่าสุด ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา คาดว่า จะเสนอขาย IPO และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ภายในไตรมาส 4/63
หลังจากนี้ บริษัท เตรียมเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยในประเทศ ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งมีนักลงทุนสถาบัน 6 ราย ที่ตอบรับเข้ามาฟังการนำเสนอข้อมูลของบริษัท
นายคมกฤต กล่าวว่า ความน่าสนใจของ SFT อยู่ที่ลักษณะของธุรกิจผลิตฉลากบรรจุภัณฑ์ที่มีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักอยู่แล้ว มาใช้บริการสั่งซื้อฉลากสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีความต้องการใช้ฉลากสินค้ามาก และสั่งผลิตตต่อเนื่อง ทำให้บริษัท มีรายได้เข้าต่อเนื่อง รวมทั้งมีการต่อยอดไปยังกลุ่มลูกค้าที่ มีความต้องการใช้ฉลากสินค้าที่พรีเมียมขึ้น เช่น กลุ่มลูกค้าเครื่องสำอางค์ ซึ่งมีความต้องการใช้การพิมพ์ฉลากแบบดิจิทัล ซึ่งมีราคาสูง และให้มาร์จิ้นที่ดี
SFT จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปขยายธุรกิจสร้างโรงงานแห่งใหม่ ห่างจากโรงงานเดิม 7-8 กิโลเมตร เพื่อรองรับความต้องการใช้ฉลากสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต หลังจากสถานการ์ณโควิด-19 คลี่คลายลง และเตรียมความพร้อมให้กับไลน์การผลิตใหม่ หลังจากโรงงานเดิมใช้กำลังการผลิตใกล้เต็มแล้ว โดยโรงงานผลิตแห่งใหม่ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30-40% จากโรงงงานเดิม หรือมีกำลังการผลิตรวมกับโรงงานเดิมเพิ่มเป็น 185 ล้านเมตร/ปี
ปัจจุบัน SFT มีทุนจดทะเบียน 220 ล้านบาท แบ่งเป็น 440 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 160 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ