คณะกรรมการนโยบาย อีอีซี เห็นชอบร่างสัญญาร่วมทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติ ก่อนลงนามเดือนมิถุนายนนี้ คาดสร้างเสร็จ พร้อมไฮสปีดเทรนเชื่อม3สนามบิน ปี 2566
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ กพอ. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันนี้(21พ.ค.) เห็นชอบร่างสัญญาร่วมทุนลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าลงทุน 290,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งโครงการนี้ มีกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ถือหุ้น 35% กับ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) ถือหุ้น 45% และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ถือ 20% เป็นผู้ชนะการคัดเลือก
หลังจากนี้ จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา คาดว่า จะลงนามสัญญาระหว่าง กองทัพเรือ กับ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอสได้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้
นายคณิศ บอกว่า นับเป็นครั้งแรกที่ไทย ประสบความสำเร็จในการเดินหน้าลงทุนโครงการกระดูกสันหลังของอีอีซี คือ สนามบินอู่ตะเภา เมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ต้องร่วมสร้างประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยมีคณะอนุกรรมการร่วมประสานงาน2โครงการ เพื่อให้เปิดบริการและเสร็จพร้อมกันในปี 2566 เพราะหาก ปราศจากโครงการใด โครงการหนึ่ง ประเทศและประชาชน จะได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่
เลขาธิการ อีอีซี คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมการบิน จะกลับมาเป็นปกติอีก 2 ปี หลังจากผ่านพ้นการระบาดของโควิด
ด้านพลเรือตรี เกริกชัย วจนาภรณ์ ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กล่าวว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือก เสนอราคาเป็นจำนวนเงินประกันผลตอบแทนค่าเช่าและส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำรายปีรวมตลอดอายุสัญญาร่วมทุน เมื่อคำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) ณ ปี 2561 โดยใช้อัตราคิดลด 3.76% เท่ากับ 305,555,184,968 บาท ตลอดอายุสัญญา 50 ปี
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีวัตถุประสงค์จะพัฒนา “เมืองการบินภาคตะวันออก” ในพื้นที่ 6,500 ไร่ มี 6 กิจกรรมสำคัญ เช่น อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน ,ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน , เขตประกอบการค้าเสรี ,ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ โลจิสติกส์ และศูนย์ฝึกอบรมการบิน
รัฐ ได้ประโยชน์เพิ่มเติม ด้านการเงิน (ค่าเช่าที่ดิน ส่วนแบ่งรายได้) มูลค่าปัจจุบัน 305,555 ล้านบาท (เป็นเงินรวม 1,326,000 ล้านบาท ใน 50 ปี) ได้ภาษีอากรเพิ่มมากกว่า 62,000 ล้านบาท ,จ้างงานเพิ่ม 15,600 ตำแหน่งต่อปี ในระยะ 5 ปีแรก เมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมด ตกเป็นของรัฐ
