xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯกำชับศบค.ปฎิบัติภารกิจตาม 6 แนวทางสู้โควิด-19

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




นายกฯกำชับศบค.ปฎิบัติภารกิจตาม 6 แนวทางแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ “บิ๊กแป๊ะ” สั่งเข้มงวดด่านตรวจคัดกรองทุกพื้นที่


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 ได้ประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครั้งแรก หลังประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งนี้ ที่ประชุม เห็นชอบให้ใช้ชื่อ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.และแต่งตั้ง ตนเองเป็นโฆษก ศบค.

ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดำเนินมาถึงจุดที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อระดมทรัพยากรในการบริหาร และการบูรณาการทุกภาคส่วน รวมถึงการออกมาตรการเพื่อกำหนดการแพร่ระบาดของโรค และผลกระทบของเศรษฐกิจ สถานการณ์ในตอนนี้ต้องควบคุม ก่อนที่จะควบคุมไม่ได้ ส่วนแนวทางการทำงานของศูนย์มีดังนี้


1. ให้ผู้ที่รับผิดชอบปฎิบัติตามแนวทางปฎิบัติหน้าที่ให้แต่ละด้าน 2. ให้มีการบูรณาการ และการประสานความร่วมมือกับทุกภาค 3. ให้มีการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของประชาชนในทุกกลุ่ม และเสนอแนวทางการแก้ไข รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยา 4. ขอให้มีความเชื่อมั่นในระบบการแพทย์ที่เป็นความหวังของประชาชน ที่จะมีการระดมทั้งทรัพยากรทางการแพทย์ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำ และภาคเอกชน โดยเน้นในด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นทั้งหมด ให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีใช้กับประชาชนอย่างไม่ขาดแคน
5. เรื่องการสื่อสารยามวิกฤต ซึ่งขอให้มีการประชาสัมพันธ์ ให้สื่อทุกช่องให้ความรู้ต่อประชาชนและต้องย้ำการเว้นระยะห่างทางสังคมให้กับประชาชนเข้าใจ และ 6. งบประมาณ ขอให้ทุกส่วนราชการปรับแผนเพื่อนำงบประมาณมาใช้ในด้านสาธารณสุขของแต่ละกระทรวง


นายแพทย์ทวีสิน ยังกล่าวอีกว่า การประชุมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงรัฐมนตรีทุกกระทรวง โดยเน้นถึงโรคระบาดโควิด-19 อีกทั้ง ทางด้านความมั่นคง จะมีกำลังจากทหารเข้าช่วยเหลือประชาชน ทั้งแจกหน้ากากอนามัย การมอบเครื่องช่วยหายใจ ส่วนการประชุม ศบค. จะมีการประชุมทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง เพื่อประสานงานในภารกิจต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงในสุขภาพของทุกคน สิ่งสำคัญ ที่สุด คือ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะช่วยให้ผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้ หลักการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing จะเป็นสิ่งที่ทำให้โรคระบาดลดการเผยแพร่ได้รวดเร็ว


ด้านพล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.)ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กล่าวว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง และผู้เสียชีวิตที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะไปจบที่ตัวเลขใด จึงจำเป็นต้องยกระดับประกาศ พ.ร.ก.เพื่อบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเช้านี้ที่ผ่านมาได้เริ่มมีด่านตรวจในที่ต่าง ๆ เป็นจุดควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด และมีจุดอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แต่ในระยะต่อไป หากกระทรวงพาณิชย์ สั่งควบคุมสินค้าเพิ่มเติม จุดตรวจอาจมีการตรวจค้นมากยิ่งขึ้นในลำดับต่อไป แต่ปัจจุบันด่านต่างๆ เป็นการตรวจคัดกรองโรคตามปกติ

อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนทุกคนตระหนัก และสมัครใจร่วมกันแก้ปัญหาการระบาดเชื้อโควิด-19 ดีกว่าที่จะมีกฎหมายบังคับล็อคดาวน์ หรือเคอร์ฟิว จึงอยากขอร้องให้ทบทวนสิ่งที่แพทย์ พยาบาล ขอให้เรางดจัดกิจกรรม และอยู่ห่างกัน เว้นระยะห่างทางสังคม อย่างเคร่งครัดพร้อมกันนี้ ขอร้องผู้บังคับบัญชา / หัวหน้างาน และเจ้าของกิจการ มีวิธีบริหารงานสมัยใหม่ที่นำงานกลับไปทำที่บ้าน ทำงานนอกเวลา ขอให้เริ่มลงมือทำ โดยคนไทยร่วมมือกันอยู่กับบ้าน หยุดกิจกรรม หยุดไปพื้นที่เสี่ยง

ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้ห้ามในการสัญจรไปมา ไม่ต้องกักตุนอาหาร และขอให้ผู้ประกอบการใช้เวลานี้คืนกำไรและความมั่นคงให้ลูกค้าว่าจะมีของเพียงพอบนชั้นวางสินค้าและจะไม่มีการขึ้นราคา หากทุกคนปฎิบัติตามดังนี้ และมาดูผลลัพธ์ว่าเราจะสามารถหยุดสถานการณ์ผู้ติดเชื้อให้ลดน้อยลงได้หรือไม่ รอใครไม่ได้ต้องเริ่มดูแลตัวเอง เริ่มป้องกันควบคุมตนเองแทนที่จะถูกบังคับโดยภาครัฐให้ได้พอมีเสรีในการใช้ชีวิตได้บ้าง นี่คือโอกาสที่เราจะร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการแก้ไขสถานการณ์นี้


ขณะที่ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษกสตช.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)กล่าวถึงมาตรการตั้งด่านจุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ขณะนี้มีด่านตรวจทั่วประเทศ 357 โดยเป็นเส้นทางเข้าออกในกรุงเทพฯ 7 จุด ล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้เพิ่มด่านคัดกรองเข้า-ออก กทม.จากเดิม 7 จุด อีก5 จุด เป็น 12 ประกอบด้วย จุดที่ 1 ถนนเพชรเกษม รอยต่อจังหวัดนครปฐม
จุดที่ 2 ถนนบางนา-ตราด รอยต่อจังหวัดสมุทรปราการ จุดที่ 3 ทางยกระดับบูรพาวิถี จุดที่ 4 ถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณอนุสรณ์สถาน และ จุดที่ 5 ทางยกระดับดอนเมือง-โทลล์เวย์

สำหรับประชาชนที่จำเป็นต้องเดินทาง ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข คือ พกบัตรประชาชนติดตัว สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างที่นั่งบนรถ 1 เมตร และถ้าหากมีกลุ่มเสี่ยงอยู่ในรถเจ้าหน้าที่จะเชิญตัวลงมาจากรถ เพื่อมาสอบประวัติอย่างละเอียด

ส่วนกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลว่า หากผ่านจุดตรวจแล้วไม่สวมหน้ากากอนามัยจะถูกปรับ 200 บาทนั้น เป็นข่าวปลอม ไม่มีการปรับ แต่ขอแนะนำประชาชนให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อความปลอดภัย หากพบเบาะแสผู้ที่ฝ่าฝืน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนหมายเลข 1111 และ 191
กำลังโหลดความคิดเห็น