xs
xsm
sm
md
lg

โลกลงทุน กับวันที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘9 นาที’ คือเวลาที่ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้กล่าวสุนทรพจน์ ณ การประชุมนโยบายประจำปี ในเมืองแจ็กสัน โฮล เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ประโยคที่กล่าวว่า **“We will keep at it until we are confident the job is done.” เป็นการยืนยันว่า Fed จะสยบภาวะเงินเฟ้อสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% **ผ่านการใช้นโยบายการเงินแบบรัดเข็มขัด ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และการลดสภาพคล่องในระบบ (Quantitative Tightening) ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับที่หลายประเทศกำลังเผชิญ..รวมถึงประเทศไทยด้วย!!  

ภาพการลงทุนที่เกิดขึ้นและแผนดำเนินการต่อจากนี้ เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากภาวะ “Lower for longer” สู่ “Higher for longer” กล่าวคือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินโลกอยู่ในระดับต่ำมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะกลับมาเป็นการทยอยปรับขึ้นและยืนค้างในระดับที่สูงอย่างน้อยในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า โดยจะกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าระดับเดิมก่อนการระบาดของ Covid-19

สำหรับการลงทุนในบริบทดอกเบี้ยขาขึ้น มุมมองต่อสินทรัพย์ต่างๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปในเชิงเปรียบเทียบสินทรัพย์เสี่ยงทั้งตราสารหนี้และทุน ซึ่งจะมีราคาหรือมูลค่าที่ลดลง เพื่อชดเชยส่วนต่างผลตอบแทนที่แคบลง (Yield gap) กดดันทิศทางการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน ที่เคยมีแนวโน้มและผลตอบแทนที่ดีในช่วงปี 2563-2564 ที่ผ่านมา นักลงทุนจะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นในการจัดพอร์ตฯ และการลงทุน

เช่นเดียวกัน ในภาคธุรกิจจริงที่ต่างก็ได้รับแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยทางตรงคือ ต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับตัวสูงขึ้น เป็นการเพิ่มรายจ่าย ในขณะที่บริษัทหลายแห่งมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) สูง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะอัตรากำไรที่หดตัวลง ด้านผลกระทบทางอ้อมคือ การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้อ, ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ-เงินกู้ และความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลพวงจากผู้กำหนดนโยบายที่คาดหวังจะใช้เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ

หากมองภาพที่ลึกลงไปในระดับอุตสาหกรรม ธุรกิจที่อ่อนไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ธุรกิจการเงิน’ ซึ่งแต่ละผู้ประกอบการมีความแตกต่างกันในแง่ผลกระทบ รวมถึงความสามารถในการปรับตัว หากแต่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกของดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น เนื่องจากแนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net interest margin; NIM) ซึ่งเป็นตัววัดสำคัญที่บ่งบอกความสามารถในการทำกำไร ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น ตามรายได้ดอกเบี้ยบนสินเชื่อส่วนใหญ่มีลักษณะลอยตัว เช่น สินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น เมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารพาณิชย์ระดับกลางที่สินเชื่อส่วนใหญ่มีลักษณะคงที่ จะได้ประโยชน์ไม่เท่า-ได้รับผลกระทบเชิงลบ เนื่องจากไม่สามารถปรับชดเชยต้นทุนทางการเงิน (Cost of fund) เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับเพิ่มขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบาย

กลุ่มที่ได้รับผลเชิงลบมากที่สุดหนีไม่พ้น กลุ่มผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์-รถจักรยานยนต์, จำนำทะเบียนรถ ฯลฯ ที่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นได้ ทั้งยังมีแนวโน้มการลดเพดานดอกเบี้ยสูงสุดจากภาครัฐลง เพื่อช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ที่เป็นความเสี่ยงเข้ามาเพิ่มเป็นระยะ โดยยังไม่ลืมว่าภาวะเงินเฟ้อที่ข้าวของแพงขึ้น ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและความสามารถในการชำระหนี้ลดลงไปในตัว  และเป็นปัจจัยลบต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่ฟื้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กที่เสียเปรียบในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้อัตรากำไรบีบแคบลงและไม่สามารถเติบโตเช่นในอดีตได้
 
**แล้วนักลงทุนจะเอาตัวรอดอย่างไร?**
สิ่งแรกที่นักลงทุนทำได้คือ ทำใจยอมรับว่าช่วงเวลานาทีทองที่สร้างผลตอบแทนแบบมหัศจรรย์ในช่วงตลาดกระทิง จากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ผ่านไปแล้ว แม้สถานการณ์มิได้น่ากลัวถึงขั้นที่จะเกิดภาวะ “ฟองสบู่แตก” แต่เป็นเพียงแค่การชะลอการขยายตัว โลกการลงทุนนับจากนี้จึงต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจให้ถี่ถ้วนมากขึ้น  สิ่งที่สองคือ ทำการบ้าน โดยจัดสรรเงินทุนไปหาสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ หรือสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจำกัด เช่น อุตสาหกรรมบริการที่สามารถส่งผ่านต้นทุนได้โดยไม่กระทบกำลังซื้อ ที่ยังเป็นขาขึ้น เช่น ธุรกิจการแพทย์ ธุรกิจท่องเที่ยว บนสมมติฐานเชื่อว่าประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก และกำลังฟื้นตัวกลับไปยังจุดสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2562
**“สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือการเปลี่ยนแปลง” **ในฐานะนักลงทุนจึงต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อจะสามารถอยู่รอด และปรับตัวจนถึงวันที่ผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี
_____________________________________________
โดย คุณณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด
 
กำลังโหลดความคิดเห็น