xs
xsm
sm
md
lg

อีสท์สปริงชี้หุ้นเทคฯ ยังไม่ฟองสบู่ เปิดกองทุนลุย 4 ธีมรับเมกะเทรนด์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อีสท์สปริง ไทยแลนด์ เปิด 4 กองทุนลุยหุ้น 4 ธีมเทคโนโลยี หวังเพิ่มทางเลือกลูกค้าลงทุนนอกมากขึ้น เชื่อหุ้นเทคฯ ยังไม่ฟองสบู่จังหวะดีเข้าลงทุน แม้ระยะสั้นผันผวนแต่แนวโน้มเติบโตมีสูงเพราะเป็นเมกะเทรนด์เปลี่ยนโลก

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของทุกคนในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีในการบันเทิง ในการสื่อสาร ในการใช้ชีวิต การรักษาพยาบาล รวมไปถึงการเดินทาง และการใช้เงิน จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลา 5-10 ปีที่ผ่านมาวิธีการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ซึ่ง ARK Investment เล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ และเริ่มจับทิศทางเพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมอันโดดเด่นเป็นเจ้าแรกๆ จนสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมได้ในปีที่ผ่านมา

ล่าสุดบริษัทจะทำการเปิดขายกองทุน TMB Eastspring ARK series ระหว่างวันที่ 15-19 มีนาคมนี้ โดยจะเป็นการลงทุนในลักษณะ ETF และ Fund of Funds ที่ ARK Investment บริหารและดูแล โดยเลือกเฉพาะเจาะจงลงไปใน 4 เทรนด์เทคโนโลยีที่เราคิดว่าเป็นเทรนด์ที่มีความสำคัญ และกำลังจะเปลี่ยนชีวิตของคนทั่วโลก อาทิ Internet of Things ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนฐานของโครงสร้างพื้นฐานจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปยังระบบคลาวด์ การดำเนินธุรกิจผ่านทางเว็บไซต์หรือให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพื่อตอบสนอง Lifestyle การใช้ชีวิตผู้คนได้ตลอดเวลา, Genomic การตัดต่อและแก้ไขรหัสพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคร้าย เช่น มะเร็ง หรือโรคติดต่อสมัยใหม่, FinTech การเงินที่สามารถโอนผ่านกันไม่ยากต้นทุนต่ำลดตัวกลาง และ Autonomous เทคโนโลยีการทำงานอัตโนมัติ และวิทยาการหุ่นยนต์ (robotics) เทคโนโลยีหุ่นยนต์กลไก เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนแรงงาน

“ทั้ง 4 เทรนด์นี้อยู่รอบตัวทุกคนอย่างใกล้ชิด เราต้องการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนในประเทศไทยได้ออกไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งเราเชื่อมั่นใน ARK Investment เพราะเขามีการติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด และมีความสามารถคัดเลือกหุ้นที่นอกเหนือจากหุ้นในสหรัฐฯ ได้ โดยการกระจายการลงทุนในระดับหลัก 10 ตัวของพอร์ตลงทุนก็มีข้อดีในการดูแลได้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งสะท้อนได้จากผลงานในช่วงที่ผ่านมา โดยกองทุนเทคโนโลยี หรือ Innovation เหล่านี้ เราแนะนำให้ลงทุนประมาณ 5-20% ของพอร์ตลงทุนและควรถือครองอย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไปเพราะหุ้นกลุ่มนี้มีความผันผวนที่สูง” คุณอดิศรกล่าว

นายอดิศรกล่าวอีกว่า ราคาหุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับภาวะส่งสบู่ดอทคอมจะเห็นว่ามีความแตกต่างในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทที่ทำการลงทุนจะมีผลกำไรให้เห็นแล้วทำให้ราคาตั้งอยู่บนปัจจัยพื้นฐานมากกว่า ส่วนความกังวลเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น และเชื่อว่าในระยะถัดจากนี้ 1-3 ปีเฟดคงยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

“แม้ในช่วงที่ผ่านมาสินทรัพย์ทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงแรง ไม่ว่าจะเป็นดัชนีฝั่งสหรัฐฯ เอเชีย หรือแม้กระทั่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เป็นผลมาจากการที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง ซึ่งเกิดจากคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตที่ประเมินกันว่าจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯทั้งด้านการเงินและด้านการคลัง อีกทั้งการที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเร็วและแรงนี้เอง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานบริษัทที่อาจลดลงในอนาคต รวมถึงส่วนชดเชยความเสี่ยง (Earning Yield Gap) ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ลดลงทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นลดความน่าสนใจลง และเกิดแรงขายทำกำไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่าปกติ แต่ทั้งนี้ เรามองว่าการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานลงเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น และเป็นการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อซึ่งเป็นลักษณะของ Healthy Correction ซึ่งตลาดหุ้นทั้งฝั่งสหรัฐฯ และเอเชียก็เริ่มปรับตัวขึ้นบ้างแล้วในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมา” คุณอดิศรกล่าวเสริม

ทั้งนี้ การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแต่จะยังคงมีความผันผวนสูง แต่เชื่อว่าต่อจากนี้ขาลงในหุ้นกลุ่มนี้คงไม่ลึกมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 20% ในช่วงปกติ และไม่เกิน 30-35% ในช่วงวิกฤต อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันหุ้นกลุ่มนี้สามารถปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าหากดูจากผลงานในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยบวกของหุ้นกลุ่มนี้จะประกอบด้วย 1. การคงมาตรการทางการเงินของเฟดในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบ 2. มาตรการการคลัง ที่ใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับสูงของสหรัฐอเมริกา 3. กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าประมาณการจากยอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น