xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ ปันผลกอง K-PROP รวม 30 ล้าน เผยธุรกิจภาคอสังหาฯ ไทยและสิงคโปร์ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - บลจ.กสิกรไทยเผยบริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ (K-PROP) รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 31.82 ล้านบาท ด้านธุรกิจภาคอสังหาฯ มีความน่าสนใจเนื่องจากมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับตลาดในภาพรวม

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ (K-PROP) ในอัตรา 0.14 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559-28 กุมภาพันธ์ 2560 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 14 มีนาคม 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 31.82 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-PROP นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนไปเมื่อ 1 มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 0.38 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในรอบ 9 เดือนอยู่ที่ประมาณ 3.65% ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 1.30% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -3.29% และผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 8.01% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 0.36% (ข้อมูล ณ 28 ก.พ. 60) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์และกระแสเงินสดที่กองทุนได้รับทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย และสิงคโปร์

สำหรับกองทุน K-PROP มีกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ อาทิ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์ที่มีความมั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันจะเน้นการลงทุนในภาคธุรกิจที่พึ่งพาความต้องการในประเทศเป็นหลัก เช่น ในหมวดห้างค้าปลีก อาคารสำนักงานของทั้งประเทศไทยและสิงคโปร์ รวมถึงหมวดโรงงานและคลังสินค้าในสิงคโปร์

“ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจภาคอสังหาฯ มีความน่าสนใจเนื่องจากมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดในภาพรวม โดยภาคอสังหาฯ ของไทยมีอัตราจ่ายปันผลอยู่ที่ 6.06% ขณะที่อัตราการจ่ายปันผลของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 3% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนขึ้น โดยตลาดคาดการณ์โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED จากการประชุมในเดือนมีนาคมนี้อยู่ที่ 88% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ในระยะสั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับมุมมองในระยะยาวหลักทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ยังถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม Income ซึ่งรายได้หลักของธุรกิจมาจากค่าเช่าที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ จึงเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนเพื่อโอกาสสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ” นางสาวธิดาศิริกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น