xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยปันผล 3 กองกว่า 490 ล้าน มองตลาดหุ้นอินเดียเติบโตแรงน่าลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทยเผย บริษัทมีกำหนดจ่ายปันผลกองต่างประเทศ 3 กอง (K-USA), (K-EUROPE), (K-INDIA) พร้อมกันวันที่ 14 ก.พ.นี้ มูลค่า 491.16 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมองว่าตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจมากกว่าภูมิภาคอื่น โดยที่ผ่านมาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่งและหนุนตลาดหุ้นอินเดียให้ปรับตัวขึ้นนำประเทศอื่นๆ

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559-31 มกราคม 2560 กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559-31 มกราคม 2560 และกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559-31 มกราคม 2560 โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 31 มกราคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 491.61 ล้านบาท

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถปรับตัวเป็นบวกกว่า 9% (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 60) เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการตอบรับในเชิงบวกต่อนโยบายการบริหารประเทศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่หุ้นกลุ่มไอทีซึ่งกองทุนหลักให้น้ำหนักมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานมีการเติบโตโดดเด่น ประกอบกับกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และพิจารณาคุณภาพของบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนด้วยมุมมองการลงทุนในระยะยาว จึงส่งผลให้กองทุนมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะสั้นซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือนโยบายเพิ่มเติมของทรัมป์ที่จะทยอยประกาศออกมาภายหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ที่อาจสร้างบรรยากาศทั้งเชิงบวกและลบต่อการลงทุน รวมถึงต้องติดตามจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในปีนี้ โดยตลาดให้ความเป็นไปได้ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ 46% (ที่มา: Bloomberg, 6 ก.พ. 2560)

ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUROPE ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถปรับตัวเป็นบวกกว่า 2% (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 60) ทั้งนี้ มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปปี 2560 นี้ มองว่ายังมีความน่าสนใจด้วยราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในยุโรปยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ภายในที่เติบโตแข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังเป็นปัจจัยช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามคือประเด็นทางการเมืองภายในภูมิภาคที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน เช่น การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และประเด็นเรื่อง Brexit ซึ่งนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมเปิดเผยแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้

ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 17.52% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 15.99% จากการที่กองทุนหลักเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และกลุ่มธุรกิจที่ผลประกอบการขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว รวมถึงกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปประเทศ เช่น ธุรกิจสุขภาพ ไอที และสินค้าอุปโภค นอกจากนี้ กองทุนหลักยังใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นหลากหลายขนาด (Multi-Cap) จึงช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กองทุน

“บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจเข้าลงทุนและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยที่ผ่านมาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่งและหนุนตลาดหุ้นอินเดียให้ปรับตัวขึ้นนำประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2560 ปรับตัวขึ้นกว่า 6.5% นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า GDP ในปี 2560 ของอินเดียจะเติบโตอยู่ที่ 7.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลก โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจจะมาจากการปฏิรูปภาครัฐที่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีการค้าและบริการ (GST Act) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในภาคการผลิต และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของอินเดียที่ยังชะลอตัว อาจทำให้ธนาคารกลางอินเดียสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมได้” นายนาวินกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น