xs
xsm
sm
md
lg

จับตา 4 รุ่นเด็ด จาก NY จ่อขายในไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


New York Auto Show 2019 หนึ่งในงานแสดงรถยนต์ระดับโลกจากฝากฝั่งอเมริกา ที่ดูเหมือนว่าจะห่างไกลจากประเทศไทยและไม่น่าจะเกี่ยวเนื่องกันได้ แต่ด้วยความที่ปัจจุบันโลกเราเล็กลง ทำให้การทำตลาดรถยนต์ในแต่ละโมเดลนั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น คือ โมเดลเดียวขายเหมือนกันทั่วโลก ไม่ได้จำแนกให้แตกต่างกันเฉกเช่นอดีต ดังนั้น ในงานนี้ เราจึงได้เห็นโมเดลที่คาดว่า จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอวดโฉมเป็นครั้งแรกด้วย

ส่วนจะมีรุ่นใด มีความเป็นไปได้ขนาดไหน ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมมานำเสนอ เพื่อให้ทุกท่านไม่พลาดหรือใครกำลังรออยู่จะได้เตรียมกำลังทรัพย์ไว้ให้พร้อม





Mercedes-Benz GLS

สงครามของตลาดรถ SUV ระดับหรูกำลังดุเดือด ชนิดที่เรียกว่า ตาต่อตาฟันต่อฟัน หายใจรถต้นคอกันโดยตลอด หลังจาก BMW เปิดตัว X7 ไม่ทันไร เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขยับเปิดตัวโฉมใหม่ของ GLS รถยนต์ SUV ระดับหรูหราและใหญ่ที่สุดของค่าย เพื่อเข้าสู้ศึกตลาดรถเอสยูวีระดับไฮเอนด์ ที่ในวันนี้แบรนด์หรูมากันเกือบครบทุกค่าย








เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอส ใหม่ มากับระยะฐานล้อที่ยาวถึง 3,137 มม. ขณะที่ตัวถังภายนอกขยายใหญ่ขึ้น ทั้งความยาวที่เพิ่มถึง 77 มม. และกว้างขึ้น 22 มม. รูปโฉมภายนอกดีไซน์ใหม่สไตล์เดียวกับรถในตระกูลจีแอล ทั้ง อี, ซี และเอ แม้จะตัวถังใหญ่ที่สุดแต่กลับมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำมากเพียง 0.32 (Cd) เท่านั้น








การเปิดตัวครั้งแรกในนิวยอร์ค ออโต้โชว์นั้น มาด้วยรุ่นเรือธง GLS580 4Matic เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร กำลังสูงสุด 489 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ได้รับการติดตั้งระบบ EQ Boost แบตเตอรี่แบบ 48 โวลท์ เป็นตัวชูโรง สำหรับการช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์









ขณะที่อีกหนึ่งทางเลือก GLS450 4Matic มากับเครื่องยนต์เบนซินมาตรฐาน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี EQ Boost 48-Volt เช่นเดียวกัน





จากอดีตที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ทำตลาด จีแอลเอส ด้วยการนำเข้าสำเร็จรูปมาโดยตลอด ดังนั้น หลังการเปิดตัวใหม่ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใดที่ค่ายแห่งดวงดาวรายนี้ จะนำ จีแอลเอส เข้ามาตอบสนองความต้องการของเศรษฐีกระเป๋าหนักในเมืองไทย เพียงแค่รอว่าเร็วหรือช้าแค่ไหนเท่านั้น








Mercedes-Benz CLA35AMG

นอกจาก GLS แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังมี CLA35AMG ที่มาพร้อมกับความเร้าใจของรูปลักษณ์ และสมรรถนะที่มีตัวเลขกำลังสูงสุดเกิน 300 แรงม้าพร้อมการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ





การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของ CLA รุ่นปกติ ซึ่งเป็นแบบสปอร์ตซีดานที่อ้างอิงแนวคิดในการออกแบบมาจาก CLS ในเมื่อเป็นเวอร์ชัน AMG งานนี้ มีการยกระดับของความสวยทั้งภายนอกและภายใน ในส่วนของล้อแม็กนั้น จะมีขนาด 18 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน แต่ถ้าอยากได้ใหญ่กว่านี้ ก็มีขนาด 19 นิ้ว เป็นออพชั่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเอาเอง











ในส่วนของห้องโดยสารมีการตกแต่งให้เน้นความสปอร์ตมากขึ้น และที่หน้าปัด ที่แสดงผลในแบบดิจิตอลผ่านทางหน้าจอแบบยาว และแบ่งออกเป็น 2 ส่วนนั้น สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลได้ 3 แบบ คือ Classic Sport และ SuperSport โดยจะมีการแสดงข้อมูลที่สำคัญในระหว่างการขับขี่ เช่น แรง G และข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องยนต์





เครื่องยนต์ที่วางเป็นแบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ 306 แรงม้า พร้อมกับมีแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 3,000 รอบ/นาที แต่อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 4.8 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ด้วยเกียร์ AMG Speedshift DCT 7 จังหวะ







ใครที่ชอบปรับแต่งรูปแบบการทำงานของระบบต่างๆ ในตัวรถให้สอดคล้องกับสไตล์ของตัวเอง งานนี้ได้ปรับกันสนุกแน่ๆ เพราะใน A35AMG ติดตั้งโหมดการขับให้เลือก 4 โหมด ระหว่าง Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ซึ่งมีการปรับตั้งค่าการทำงานเพื่อให้มีการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีการทำงาน Race-Start มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อช่วยให้รถมีการเร่งที่เร้าใจตั้งแต่เริ่มออกตัว


ทั้งให้การตอบสนองการขับเคลื่อนอย่างเร้าใจ โดยตัวรถมีการกระจายน้ำหนักในอัตราส่วน 50:50 สำหรับด้านหน้าและหลัง โดยที่ช่วงล่าง AMG Suspension ด้านหน้าเป็นแบบแมกเฟอร์สันตรัตและด้านหลังแบบ 4-Link เพื่อให้ความมั่นคงและคล่องแคล่วในขณะขับ โดยที่มี AMG Ride Control เป็นออฟชันเสริมสำหรับการปรับควบคุมช่วงล่างได้ 3 โหมด






สำหรับคนที่ชอบความสปอร์ตบนความกะทัดรัดบนตัวถังแบบ 4 ประตู CLA35AMG ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมากในตลาด ณ ตอนนี้ และตลาดเมืองไทยก็มีสิทธิ์ลุ้นเช่นกัน

Nissan Versa

ใครหลายๆ คนที่ยังไม่ทราบ นิสสัน เวอร์ซ่า ของตลาดอเมริกา นั้นคือ รถยนต์รุ่นเดียวกันกับ Almera ที่ขายในบ้านเรา ดังนั้น เมื่อมีการเปิดตัวโฉมใหม่ล่าสุดของ เวอร์ซ่า ที่อเมริกา คำถามที่ตามมาคือ แล้ว อัลเมร่า ในบ้านเราล่ะ จะเปลี่ยนหน้าตาไปตามนี้ด้วยหรือไม่ คำตอบยังไม่มีในเวลานี้











สำหรับ นิสสัน เวอร์ซ่า ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า เป็นขุมพลังหลัก จับคู่กับเกียร์ซีวีที Xtronic หรือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด โดยรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด สะท้อนแนวคิดด้านการดีไซน์ ด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของรถนิสสันทุกรุ่น









ขณะที่ในเมืองไทยนั้น อัลเมร่า อยู่ภายใต้โครงการอีโคคาร์เฟสหนึ่ง ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอให้ได้รับอัตราภาษีสรรพสามิตรพิเศษ ซึ่งหากว่ากันตามระยะเวลาของการเปลี่ยนโฉม น่าจะถึงคิวได้แล้ว แต่ด้วยการเป็นรถภายใต้โครงการนี้ ที่ยังคงได้รับสิทธิพิเศษอยู่ ดังนั้น จึงน่าจะต้องรออีกสักระยะหนึ่ง












รวมถึงยังต้องให้เวลาในการปรับตัวและเรียนรู้งาน หลังมีการเปลี่ยนแปลงประธานนิสสันไทย โดยประธานคนใหม่เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา










Subaru Outback

ซูบารุ เปิดตัวโฉมใหม่แกะกล่องของ “เอาท์แบ็ค” รถยนต์เวอร์ชั่นเอนกประสงค์ของ เลกาซี่ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เลกาซี่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยโฉมใหม่นี้มากับ Subaru Global Platform ยังคงมากับระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ All Wheel Drive และเสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ Eyesight พร้อมระบบความบันเทิง Subaru Starlink หน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว ที่มากับระบบแสดงผลรวม Driver Focus Distraction Mitigation









ส่วนหัวใจมากับ 2 ทางเลือก เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 6 สูบนอนบ็อกเซอร์ เทอร์โบ 260 แรงม้า และเบนซินขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบนอนบ็อกเซอร์ กำลังสูงสุด180 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเเกียร์ CVT









มีความเป็นไปได้สูงมากสำหรับการทำตลาดในเมืองไทย หลังการเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการของโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ซูบารุแห่งใหม่ ในประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานแห่งแรกในเอเชียที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น โดยโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 100,000 คัน และสามารถผลิตได้รถได้ถึง 4 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ออกจากสายการผลิตคือ ฟอร์เรสเตอร์










ประเด็นสำคัญคือ ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้ถามความเป็นไปได้จากผู้บริหารของซูบารุ ซึ่งได้รับคำตอบว่า อยู่ระหว่างการพิจารณา แปลว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น เอาท์แบ็ค เวอร์ชันประกอบเมืองไทย แน่นอนจะมีผลต่อราคาจำหน่ายและการบรรลุเป้าหมายด้านยอดขายของซูบารุเองที่ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ไปถึงกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนจะมาเปิดตัวเมื่อใดนั้น อดใจรออีกไม่นานน่าจะมีคำตอบ









ทั้ง
4 รุ่นดังกล่าวถือว่าเป็นโมเดลที่มีความเกี่ยวเนื่องและมีโอกาสเป็นไปได้สูงในการเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยแน่นอนว่า การตัดสินใจว่าจะทำตลาดรถยนต์รุ่นหนึ่งรุ่นใดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะตลาดรถยนต์เมืองไทยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตลาดปราบเซียนที่ไม่ว่าคุณจะเก่งมาจากที่ไหน หากกางตำราการตลาดมาใช้ หวังกุมหัวใจลูกค้าชาวไทยบอกตรงนี้ได้เลยว่า ม้วนเสื่อกลับบ้านกันไปแทบทุกคน.





กำลังโหลดความคิดเห็น