xs
xsm
sm
md
lg

MG สยายปีก 3 รุ่นใหม่ ดันยอดเข้าเป้า 50,000 คัน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอ็มจี ค่ายรถยนต์น้องใหม่ของเมืองไทย ที่เพิ่งจะเข้ามาทำตลาดในไทยด้วยระยะเวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น แต่กลับมียอดขายสะสมรวมทุกรุ่นแล้วถึง 50,000 คัน เหนืออื่นใดในปี 2562 นี้ เอ็มจี ตั้งเป้าสุดท้าทายด้วยยอดขายที่ 50,000 คัน/ปี เกิดอะไร ทำไม! เอ็มจีจึงกล้าที่จะประกาศเป้าหมายการขายที่ทำให้ค่ายอื่นต้องหันมามอง








ย้อนกลับมาดูถึงจุดเริ่มต้นของ เอ็มจี ในประเทศไทย เกิดจากความร่วมมือกันของ เอสเอไอซี ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของประเทศจีน กับ กลุ่มซีพี ผู้ประกอบการด้านอาหารอันดับหนึ่งของไทย ซึ่งในแง่ของเงินทุนคงไม่ใช่ปัญหา ประกอบกับทรัพยากรในทุกด้านที่ครบครัน การแจ้งเกิดแบรนด์จึงไม่ใช่เรื่องยาก









ในปี 2560 เอ็มจี มีการย้ายโรงงานใหม่ เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 คันต่อปี เม็ดเงินลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ยังไม่นับการลงทุนปลีกย่อย ทั้งในส่วนของโมลด์และการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถมากขึ้น ซึ่งทำอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์จึงกลับกลายมาเป็นยอดขายที่เติบโตแบบก้าวกระโดด









ปัจจัยสำคัญสุดที่ทำให้ เอ็มจี ประสบความสำเร็จ ในระยะเวลาอันสั้น คงเป็นเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ หรือการเลือกรถมาขายได้ตรงใจผู้บริโภค หากย้อนกลับไปดูจากจุดเริ่มต้น เอ็มจี เปิดตัวด้วยรถในระดับกลาง อย่าง เอ็มจี6 และเอ็มจี5 ซึ่ง 2 รุ่นนี้ ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ถัดมาเป็น เอ็มจี3 รถขนาดเล็ก และจีเอส ซึ่ง 2 โมเดลนี้ ทำยอดขายได้ดีในระดับที่ดีลเลอร์มีความสุขในการขายได้ ถือว่า เอ็มจี เริ่มเดินมาถูกทาง












ตามด้วย “แซดเอส” ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2560 พร้อมขึ้นแท่นเป็นเจ้าตลาดรถเอสยูวีขนาดซัพคอมแพค โค่นเจ้าตลาดลงไปได้อย่างน่าประหลาดใจ (แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่เดือน แต่ถือว่าทำได้ดี) กลายเป็นพระเอกหมายเลขหนึ่งของแบรนด์เอ็มจีไปในทันที โดยสามารถสร้างยอดขายได้ในระดับเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,500 คัน









ส่วนหนึ่งมาจากการที่เจ้าตลาดอยู่ในช่วงปลายอายุโมเดล แต่ยอดขายที่เป็นกอบเป็นกำนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจัยหลัก คือราคา ด้วยการตั้งราคาในระดับเริ่มต้นที่ 600,000 บาทกลางๆ และตัวท็อป ที่ราคา 789,000 บาท โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ไอ-สมาร์ท (i-Smart) และออปชันล้นหลาม เช่น ซันรูฟ ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี











สำหรับตัวเลขยอดขายในปีที่ผ่านมา เอ็มจี ปิดยอดขายที่ 23,740 คัน และในปีนี้ ตั้งเป้าการขายไว้ที่ 50,000 คัน ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร หากไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเพิ่มเติมในไลน์อัพการขาย ดังนั้น ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จึงได้สืบจนทราบข้อมูลของรถยนต์รุ่นใหม่ที่ เอ็มจี วางแผนว่า จะนำมาทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะมีทั้งหมด 3 รุ่นใหม่ นำโดย ปิกอัพ, เอสยูวี และรถยนต์ไฟฟ้า












ปิกอัพ ที60


กระแสข่าวของการทำตลาดรถยนต์ปิกอัพนั้น ถ้าใครติดตามทาง เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จะพบว่า เราได้นำเสนอเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในคราวนี้ ถือเป็นความคืบหน้าที่ชัดเจนที่สุด และได้รับการยืนยัน 99% แล้วว่า จะทำตลาดอย่างแน่นอน โดยมากับตัวถังแบบ 4 ประตู ในช่วงเริ่มต้น









แท้จริงแล้วโมเดลนี้ ได้หยิบยกมาจากแบรนด์ในเครือเอสเอไอซี อย่าง “แม็กซัส ที 60” โดยจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ภายใต้โลโก้ของ เอ็มจี ส่วนชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการนั้น ยังคงต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงเปิดตัว คาดหมายว่าจะอยู่ราวครึ่งหลังของปีนี้



สำหรับสเปกพื้นฐานของ แม็กซัส ที 60 ที่ทำตลาดในจีน เป็นรถยนต์ปิกอัพแบบ 4 ประตู มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร, เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และตัวแรง เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 224 แรงม้า ระบบส่งกำลังมี 3 แบบเช่นกัน เกียร์ธรรมดา 5 สปีด, 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด









ส่วนจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์แบบใด กี่ทางเลือกย่อย ยังคงต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง แต่ที่แน่นอนคือ การมากับระบบ ไอ-สมาร์ท ที่ช่วยให้สามารถติดตามรถได้ทุกที่ รวมถึงการใส่ออปชันชนิดที่เหนือกว่าคู่แข่ง ขณะที่ราคาจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการแจ้งเกิดปิกอัพโมเดลใหม่นี้ในไทย











เอสยูวี เอชเอส


โมเดลใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา โดยได้รับการคาดหมายว่าจะมาเป็นตัวแทนของรุ่น จีเอส ในการทำตลาดเมืองไทย เอชเอส รถเอนกประสงค์ขนาดคอมแพคแบบ 5 ที่นั่ง มากับรูปลักษณ์ใหม่ที่ออกแบบอย่างโฉบเฉี่ยวสะท้อนแนวคิดด้านดีไซน์ยุคปัจจุบันของเอ็มจี ที่มีความทันสมัยมากขึ้น






เอชเอส เปิดตัวมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2 ขนาดได้แก่ รุ่น 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 231 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร และรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 169 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร โดยมีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ พร้อมทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด, เกียร์อัตโนมัติ แบบดูอัลคลัทช์ทั้ง 6 สปีด และ 7 สปีด แค่เห็นสเปกแบบนี้ เอสยูวีเจ้าตลาดปัจจุบันคงมีร้อนๆ หนาวๆ กันบ้าง













เอ็มจี เอชเอส กำหนดเปิดตัวทำตลาดครึ่งหลังของปีนี้เช่นเดียวกัน สนนราคาค่าตัวในประเทศจีนของ เอชเอส คร่าวๆ เริ่มต้นที่ 6 แสนกว่าบาท ถึงเกือบ 1 ล้านบาท เมื่อมาเมืองไทยราคาน่าจะอยู่ใกล้เคียงกับรุ่นจีเอสเดิม ที่ราว 9 แสนบาท ถึง 1 ล้านกว่าบาท











อีแซดเอส ไฟฟ้า


รถยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในโมเดลที่ เอ็มจี ได้ประกาศว่า จะทำตลาดในเมืองไทยมาโดยตลอด และล่าสุดกับความเป็นไปได้ในการนำ อีแซดเอส รถยนต์ไฟฟ้า รุ่นใหม่ที่เพิ่งจะมีการเปิดตัวต่อสายตาชาวโลกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว และมีกำหนดทำตลาดในเมืองจีนราวเดือนมีนาคมนี้










เอ็มจี อีแซดเอส ถูกระบุว่า สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 428 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง กำลังสูงสุด 110 kW สามารถเร่งความเร็วจาก 0-50 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.1 วินาที อัตราการสิ้นเปลือง 13.8 กิโลวัตต์ ต่อระยะทางวิ่ง 100 กม. หรือ ใช้ไฟฟ้าราว 14 หน่วยวิ่งได้ระยะทาง 100 กม.










เหนือสิ่งอื่นใด อีแซดเอส มากับฟังก์ชันล้ำสมัย เช่น ระบบออนไลน์ 24 ชั่วโมง, การควบคุมรถจากระยะไกล, ระบบชำระเงินค่าจอดและการอัพเกรดฟรีตลอดอายุการใช้งาน เป็นต้น ทั้งนี้ อีแซดเอส เป็นรถยนต์ที่ถูกวางแผนให้ทำตลาดทั่วโลก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการทดสอบ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้าของยุโรป ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะทำตลาดในเมืองไทย












ส่วนจะสามารถทำตลาดได้ทันในปีนี้หรือไม่ คงต้องจับตาดูตอนต่อไป เนื่องจากประเทศไทยเองถูกวางตำแหน่งให้มีความสำคัญในระดับที่เป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาเพื่อส่งออกทำตลาดทั่วโลก ดังนั้น จึงไม่น่าพลาดที่โมเดลนี้ จะเข้ามาโลดแล่นให้เลือกซื้อหากัน













ทิศทางและโมเดลต่างๆ ที่ทางเอ็มจีได้วางแผนลุยเมืองไทย เรียกว่า จัดกันเต็มสูบเพื่อบรรลุเป้าหมาย 50,000 คัน ซึ่งจะว่าไปแล้วมันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก สุดท้ายขึ้นกับว่าจะเปิดตัวออกมาได้ตรงใจคนไทยแค่ไหน บวกกับราคาจะโดนใจผู้บริโภคหรือเปล่าเท่านั้นเอง









กำลังโหลดความคิดเห็น