นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของค่ายรถ “มาสด้า” กับความคิดมุทะลุ คิดนอกกรอบ กล้าที่จะแตกต่าง ในการจัดทริปให้สื่อมวลชนควบรถมาสด้าตะลุยไปในดินแดนที่ไม่มีค่ายรถใดกล้าทำมาก่อน และถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการขับรถลุยต่างแดนต่อวงการยานยนต์ไทยอีกต่างหาก โดยเฉพาะกับทริปสุดโต่ง ขับจากไทยไปจีน จากจีนไปมองโกเลีย ขับรถบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล นอนในกระโจม และทริปที่ขับจากมองโกเลียไปบนเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เป็นสายรถไฟที่ยาวที่สุดในโลกบนดินแดนหลังม่านเหล็ก โดยขับตามแนวรถไฟ และมาสิ้นสุดที่มอสโก ประเทศรัสเซีย เป็นเส้นทางที่ใครจะกล้าทำถ้าไม่ใช่ “มาสด้า”
ล่าสุดมาสด้าได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ที่ยังไม่มีใครพิชิตมาก่อนอีกครั้ง และเชื่อว่ายังไม่มีคนไทยกลุ่มใดที่มีโอกาสสัมผัสแน่นอน นั่นคือ การขับรถมาสด้าไปบนเส้นทาง “คาบสมุทรสแกนดิเนเวีย” ที่ต้องขับผ่าน 3 ประเทศ คือ สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ ถือเป็นครั้งแรกของค่ายรถยนต์ในประเทศไทยทีเดินทางมาทดลองขับขี่ในประเทศเหล่านี้ โดยมีไฮไลต์ของทริปนี้อยู่ที่เส้นทาง Atlantic Ocean Road ถนนที่ขึ้นชื่อว่า “สวยที่สุด” ในประเทศนอร์เวย์ มีความยาว 8.3 กิโลเมตร กว้าง 6.5 เมตร เชื่อมเกาะต่างๆ ของเมือง ได้รับการยกย่องให้เป็น Norwegian Structure of The country และเป็นหนึ่งในถนนที่สวยงามที่สุดในโลก และถนนเส้นนี้ถูกจัดให้เป็น National Tourist Route มรดกทางวัฒนธรรม อีกด้วย
สำหรับเส้นทางบนหน้าประวัติศาสตร์ครั้งล่าสุดรวมระยะทางทั้งสิ้นที่ต้องขับรถมาสด้าเดินทางบนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย 5,800 กิโลเมตร แบ่งเป็นกลุ่ม เอ ขับ 2,200 กิโลเมตร และกลุ่มบี ขับ 3,600 กิโลเมตร แต่ถ้ารวมระยะทางที่เอารถขึ้นเรือข้ามฝากเพื่อย่นระยะทางประหยัดเวลาในการเดินทางจะเท่ากับ 6,500 กิโลเมตร ถือเป็นการเดินทางที่ไกลพอสมควร
อย่างที่กล่าวข้างต้นการเดินทางครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเริ่มเดินทางจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ไปยังกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน และข้ามเรือเฟอร์รี่ไปยังประเทศฟินแลนด์รวมถึงเดินทางไปยังเมืองโรวาเนียมมี (Rovaniemi) บ้านเกิดของซานตาคลอส และไปบรรจบเส้นทางกับกลุ่มที่สองที่เมืองฮอนนิงสวัก (Honningsvag) ประเทศนอร์เวย์
ส่วนผู้เขียนอยู่ในกลุ่มสองซึ่งในวันแรกของการเดินทางค่อนข้างจะหนักหนาสาหัสอยู่เหมือนกัน พวกเราเดินทางตอนตี 1 เวลาไทยเพื่อบินไปกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ใช้เวลาบิน 11 ชม. หลังจากนั้นรอต่อเครื่องอีก 4-5 ชม.ก่อนไปสนามบินอัลต้า บินอีกประมาณ 3 ชม. และนั่งบัสอีก 2 ชม.เพื่อไปยังเมืองฮอนนิงสวัก ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของนอร์เวย์ และที่เมืองนี้เราจะพบกับกลุ่มแรกที่เดินทางมาจากเดนมาร์กมาสิ้นสุดที่นี่เช่นกัน
อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าใครที่เดินทางมาประเทศนอร์เวย์ร้อยเปอร์เซ็นต์เขาต้องมาดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่แหลม North Cape หรือ Nord Kapp แน่นอนทริปเราทั้งกลุ่มเอและกลุ่มบี นั่งรถบัสขึ้นไปที่แหลม แต่ระหว่างทางคนขับรถบอกว่าไม่น่าจะเห็น เพราะฟ้าปิดฝนตกก่อนที่เราจะมา เล่นเอาพวกเราซึมไปเหมือนกัน แต่อย่างว่าเรามากับ “โชค” อย่างแรกเราได้เห็นแสงเหนือกันเป็นชั่วโมง แสงแล้วแสงเล่าที่ผ่านมาให้ได้ชื่นชม ความสวยงาม บนแหลมชนิดจำจนวันตายเลยทีเดียว...และก่อนที่จะขึ้นรถกลับพวกเราแอบเห็นพระอาทิตย์เช่นกัน ตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว งานนี้เล่นเอาคนขับรถอึ่งไปเหมือนกัน ...บอกว่า พวกยูโชคดีจริง ๆ มาครั้งแรกก็เจอ
วันรุ่งขึ้น กลุ่มแรก กลับเมืองไทย กลุ่มเรา กรุ๊ปบี ก็เริ่มออกเดินทางกันโดยรถคู่ชีพของเราทริปนี้เป็นรถมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 เวอร์ชันยุโรป พวงมาลัยซ้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะเราต้องขับในยุโรปหลายวันฉะนั้นรถพวงมาลัยซ้ายจะทำให้การขับสบายกว่าพวงมาลัยขวาจากไทย โดยคันเรามีสมาชิก 4 คน เป็นผู้หญิงล้วน มาจากสื่อไทยโพสต์, เดลินิวส์ ,ออโต้วิชั่น และ ผู้จัดการ MOTORING
ชีวิตของพวกเราทั้งหมดในกลุ่มบี จะอยู่กับรถคู่ชีพ มาสด้าซีเอ็กซ์-5 ทั้งหมด 6 วัน โดยวันแรกเราต้องเดินทางทั้งหมด 600 กม.จาก เมือง Honningswag ไปยังเมือง Tromso วันที่สองออกจากเมือง Tromso ไปเมือง Lulea รวมระยะทาง 660 กม. วันที่สามจาก Lulea ไปยังเมือง Trondheim เกือบ 900 กม. หนักสุดสำหรับวันนี้ กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ทุ่ม วันที่สี่ อออกจาก Trondheim ไปยัง Leikanger โดยวันนี้เราได้ขับผ่านถนน Atlantic Ocean Road ถนนที่สวยที่สุดในโลกอีกหนึ่งแห่งของโลก ตื่นตาตื่นใจมาก รวมระยะทางที่ขับ 580 กม. ในวันที่ 5 ออกจาก Leikanger ไปยัง Flam-Bergen ขับน้อยหน่อย 260 กม. และวันสุดท้ายที่นั่งหลังพวงมาลัยขับจาก Bergen ไปยัง Oslo เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ และพักที่นี้หนึ่งคืนก่อนบินกลับเมืองไทย รวมระยะทางที่ขับวันสุดท้าย 460 กม.
สำหรับรถมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ที่สื่อมวลชนไทยใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นเครื่องยนต์ดีเซล พวงมาลัยซ้าย ขนาดเครื่องยนต์ 2,200 ซีซี 175 แรงม้า แรงบิดอยู่ที่ 420 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD (All Wheel Drive) ทั้งหมด 10 คัน แต่ใน 10 คันมีหนึ่งคันขับเคลื่อน 2 ล้อ ส่วนสเปกไม่ได้แตกต่างจากไทยเท่าไรนัก จะมีก็อุปกรณ์เวอร์ชันที่ใช้ในอากาศหนาว เช่นระบบอุ่นพวงมาลัย ระบบอุ่นเบาะนั่งคู่หน้าและคู่หลัง มีระบบละลายน้ำแข็งบริเวณที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้า มีระบบละลายฝ้าที่กระจกมองข้าง มีที่ฉีดล้างไฟหน้า ไฟตัดหมอกหลัง มีระบบพับกะจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อล็อครถ มีชุดซ่อมยางฉุกเฉิน (ไทยมียางอะไหล่) และของไทยมีซันรูฟของยุโรปไม่มี
การเดินทางสำหรับทริปนี้ต้องบอกว่าเราเจอสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น “ฝน” ที่ตกต้อนรับเราตั้งแต่วันแรกที่เริ่มขับ และเจอกับฝนตลอดระยะทางที่อยู่บนรถ 6 วัน และไม่เพียงแต่ฝนเท่านั้น ยังมีลม แดดร้อนจัด มีหิมะ หนาวสุดสุด ที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอ ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหิมะตก แต่เราก็เจอ ถือว่า โชคดี สำหรับกลุ่มบี เพราะอย่างไรเสียเราคนไทยไม่มีโอกาสได้เจอหิมะ พอเจอก็สร้างความตื่นเต้น สนุกสนาน กับการได้สัมผัส ได้เล่นหิมะ แถมประสบการณ์การขับรถบนหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาจนสิ่งรอบตัวขาวโพลนไปหมด ก็ต้องขับกันอย่างระมัดระวัง ไปอย่างช้า ๆโดยเฉพาะรถขับสอง ต้องขับแบบย่องเลยงานนี้ ถนนลื่นมาก เพราะเราต้องผ่านภูเขาสูง อุณหภูมิช่วงนั้นต่ำกว่า 0 องศา แน่นอน ในวันสุดท้ายจาก Bergen มุ่งหน้า Oslo
การขับขี่แม้จะเป็นพวงมาลัยซ้ายก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ขับสบาย สำหรับซีเอ็กซ์ -5 เวอร์ชันยุโรป ฝูงนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้บางวันต้องขับระยะทางไกลบวกกับเราก็สลับกันขับในผู้หญิง 4 คน ดังกล่าวข้างต้น ที่สำคัญการขับตามกันเป็นคาราวานก็ช่วยได้เยอะ ผ่อนคลาย ไม่ต้องกลัวหลง บวกกับเส้นทางที่เราต้องขับค่อนข้างชิล ๆ รถไม่เยอะ ยกเว้นเข้าเมือง ต้องระมัดระวังหน่อย ความเร็วต้องตามป้ายที่บอกอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะวิ่งนอกเมืองหรือในเมือง และเวลาคนข้ามถนน ก็ต้องหยุดทันทีเพื่อให้เขาข้ามก่อน แล้วเราค่อยไป เรื่องนี้ถือเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติจริงจัง ไม่เช่นนั้นเรื่องใหญ่แน่
ที่สำคัญวิวทิวทัศน์ระหว่างทางสวยงาม เจอหมู่บ้านเล็ก ๆ ตลอดทาง บ้านน่ารัก ขับเลาะทะเลสาบหลายแห่ง ขับผ่านต้นไม้ ใบหญ้าที่กำลังเปลี่ยนสี เจอน้ำตกที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเส้นทาง บางวันเห็นหิมะอยู่ตามเทือกเขาบนเส้นทางที่ขับผ่าน บางวันก็ต้องขับรถขึ้นเรือเฟอร์รี่ ข้ามเกาะ เพื่อย่นระยะทางในการขับ นอกจากนี้ยังต้องขับลอดอุโมงค์ที่มีอยู่ตลอดทาง อุโมงค์ที่ว่านี้ค่อนข้างใหญ่โตมาก และมีอยู่วันหนึ่งเราขับลอดอุโมงค์ที่มีความยาวมากที่สุดในนอร์เวย์คือ 24.5 กม. ยาวมาก บางจุดในอุโมงค์มีวงเวียนแยกเป็น 4 ทิศ 4 ทางให้เลือกเดินทางอีกต่างหาก และบางเมืองก็ใช้อุโมงค์เป็นที่จอดรถด้วย เห็นแล้วอึ่ง ทึ่ง กันไปเลย ในแต่ละวันที่ขับรถผู้นำทางจากบริษัท ทรานเอเชีย ในครั้งนี้ จะหยุดรถเป็นระยะ ทุกวัน เพื่อให้ทุกคนลงมายืดเส้นยืดสาย ดื่มกาแฟ ท่ามกลางธรรมชาติแถวนั้น ชิล ชิล กันไป
เหนืออื่นใดเส้นทางที่เราขับผ่านและหยุดพักค้างในแต่ละเมืองถือว่าเป็นจุดไฮไลต์ของแต่ละช่วงก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น แหลม North Cape ได้ชมแสงเหนือ ,แบร์เกน Bergen เมืองท่าโบราณ , นั่งเรือชมอ่าวฟยอร์ด (Fjord) เส้นทางบางวันผ่านจุดรอยต่อชายแดน ฟินแลนด์-สวีเดน ,ฟินแลนด์-นอร์เวย์ เมือง Trondheim เมืองเล็ก ๆ ที่ไฮไลต์อยู่ที่สะพาน Old Town จนมาจบที่เมืองหลวงของนอร์เวย์ คือ ออสโล
การพาสื่อมวลชนพร้อมรถมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ขับเกือบ 6,000 กิโลเมตร ถือเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เร้า ประทับใจ ที่ต้องขับในทุกสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน และท้าทายสื่อมวลชนจากไทยด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการขับพวงมาลัยซ้ายในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ให้ถึงจุดหมายปลายทางในแต่ละวันจนเสร็จสิ้นภารกิจวันสุดท้ายอย่างปลอดภัย
แน่นอนความสำเร็จที่เกิดขึ้นต้องยกนิ้วให้กับรถมาสด้า เพราะการเดินทางตั้งแต่เช้ายันมืดทุกวัน แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของรถในการขับขี่ ที่ต้องเจอกับสภาพอากาศแปรปรวนทุกวัน ทั้งฝนตก อากาศที่หนาวเหน็บ ลมที่แรง เส้นทางที่คดโค้งตามลักษณะภูมิประเทศที่เป็นคาบสมุทร แต่ระบบตัวช่วยไฮเทคต่าง ๆ ได้แสดงบทบาทในการช่วยและอำนวยความสะดวกในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นอีกวิถีทางหนึ่งในการพิสูจน์รถมาสด้าว่า “สกายแอคทีฟไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้”
บวกกับผู้บริหารของมาสด้า กล้าคิดต่าง ในการฉีกกฎการขับรถ พามาลุยบนเส้นทางคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย เพื่อเปิดประสบการณ์สุดขอบฟ้ากับมาสด้า และถือเป็นการเปิดหน้าประวัตศาสตร์ของรถยนต์ไทยที่ไม่มีใครกล้าทำยกเว้น “มาสด้า” ค่ายรถญี่ปุ่นไม่เล็ก-ไม่ใหญ่ แต่ต้องบอกว่า “ใจถึง” จริง จริง
ไฮไลต์เด็ด ระหว่างทาง
การเดินทางเปิดประสบการณ์ สุดขอบฟ้ากับมาสด้า บนเส้นทางคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ครั้งนี้นอกจากขับรถเพื่อทดสอบสมรรถนะของรถกันแล้ว เส้นทางที่ผ่าน แต่ละเมืองที่เราได้หยุดพัก ค้างคืน ต่างเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิตและได้รับความนิยมในหมู่นักเที่ยวที่มาเยือนประเทศนอร์เวย์แทบทั้งสิ้น จะมีที่ใดบ้าง ...ลองอ่านดู
นอร์ท เคป (North Cape)
นอร์ท เคป เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศนอร์เวย์ ตั้งอยู่บนเกาะมาเกโรยะ (Mageroya) มีลักษณะเป็นแหลมอยู่บนหน้าผาสูงประมาณ 307 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยที่เบื้องบล่างนั้นเป็นท้องทะเลแบเร็นตส์ (Barents Sea) สุดกว้างใหญ่ สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่คือการชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่จะชมได้ในหน้าร้อน แต่วันที่เราไป ได้เห็นแสงเหนือบนแหลมแทน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่มาจะได้เห็น ถือว่าพวกเราโชคดีกันทั้งคณะมาครั้งแรกและเจอเลย และก่อนที่ทุกคนจะขึ้นรถกลับเหลือบไปเห็นพระอาทิตย์อยู่ลิบ ๆ กรี๊ดกันใหญ่เลย สุดท้ายเราก็ได้เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนบนนอร์ท เคป จนได้
นอกจากนี้ที่นอร์ท เคป ยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับที่นี้และเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงไปเยือนนอร์ท เคป และมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระองค์ไว้ในพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยังมีจารึกพระนามย่อ จปร.บนก้อนหิน ซึ่งได้รับการรักษาอย่างดีจากรัฐบาลนอร์เวย์
ทรอนด์แฮม Trondheim
เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของนอร์เวย์ ท่านสามารถเดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอาคารบ้านไม้เก่าแก่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันฉูดฉาดริมฝั่งแม่น้ำ
นอกจากนี้ยังมีสะพานเมืองเก่าทรอนด์แฮมสร้างเป็นซุ้มไม้สีแดง นับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ใครมาเยือนต้องถ่ายรูปที่สะพานแห่งนี้ และสะพานแห่งนี้ถูกเรียกว่าประตูแห่งความสุข หากใครได้มาเยือนก็จะพบเจอแต่ความสุข สะพานสร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำทีเรียกว่านีเดลเวน Nidelven เชื่อมเมืองเก่าและเขตธุรกิจของทรอนด์แฮมให้เดินทางสะดวกขึ้นที่สำคัญในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จเมื่อสมัยพระราชดำเนินเยือนนอร์ท เคป
ฟยอร์ด (Fjord)
กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกหนึ่งอย่างในการมานอร์เวย์คือการล่องเรือชมวิวฟยอร์ด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งปกคลุมเหนือพื้นดิน ภาพของหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขา น้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลลงมาจากยอดเขาสูงลงสู่แม่น้ำ สายน้ำที่สวยงามอลังการสุด ๆ
และเมื่อขึ้นจากเรือมาอีกฝั่งหนึ่งเราจะพบกับพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งโบราณ (Viking ship Museum) จัดแสดงเกี่ยวกับเรือไวกิ้งที่สร้างจากไม้ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยขุดได้จากรอบ ๆ ออสโลฟยอร์ด
Atlantic Ocean Road
นี่คือถนนข้ามทะเลแอตแลนติกในประเทศนอร์เวย์ ถนนสายนี้ถูกสร้างขึ้นจริงเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2526 ด้วยความร่วมมือของชาวบ้านในท้องถิ่นหลายคน และแน่นอนการก่อสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีช่วงหนึ่งที่พายุไซโคลนยูโรเปียนจำนวนถึง 12 ลูกพัดกระหน่ำกันเข้ามาในพื้นที่เลยทำให้อุปกรณ์กระจัดกระจายหมด แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านอุปสรรคมาพอสมควร ก็เปิดอย่างเป็นทางการอีก 6 ปีถัดมา
คณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมของนอร์เวย์จัดให้ถนนแอตแลนติกโอเชี่ยนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และยังมอบรางวัลการก่อสร้างแห่งศตวรรษให้เมื่อปี 2548 อีกทั้งถนนแห่งนี้ยังอยู่ในกลุ่มถนนที่สวยและอันตรายที่สุด เนื่องจากทางคดเคี้ยวอย่างกับงูเลี้อยเต็มไปหมด และยังมีสะพานที่สูงชัน ยิ่งมีฝนตกลงมาบรรยากาศแถวนั้นน่ากลัวมาก
เบอร์เก้น (Bergen)
เป็นเมืองท่าที่สำคัญ และใหญ่เป็นอันดับสองของนอร์เวย์ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ เมืองนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาเจ็ดลูก มีท่าเรือที่ยาวถึง 10 กิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของ Fish Market ตัวเมืองเรียงรายไปด้วยบ้านไม้สีสันสดใสราวกับลูกกวด มีทั้งหมดประมาณ 60 กว่าหลัง ด้วยความสวยงามดังกล่าวจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)
ขอบคุณภาพจาก : นิรดา จุลโลบล , เดชพันธุ์ นามบุญสิงห์พล
ขอบคุณ บริษัท TransAsia Route ผู้นำทาง